ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เทศน์หลังฉันจังหัน

๔ ต.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์หลังจังหัน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราจะพูดเรื่องอยู่ป่า เวลาไปอยู่ป่า ไปอยู่ป่ามันแบบว่ามันเหมือนกับยุคน้ำแข็ง ยุคน้ำแข็งนะ ไฟต้องสีกันเอง ทุกอย่างต้องหากันเอง เราไปอยู่ป่าก็เหมือนกัน ไปอยู่กับธรรมชาติ เทียนนะ พระไปอยู่ป่า เมื่อก่อนมันไม่มี ใช้ไม้ขีด พอใช้ไม้ขีด พออยู่ในป่ามันจะชื้น สมัยโบราณมันไม่มีหรอก ไฟแช็กยังไม่มี เราไปธุดงค์กันนะ เขาเรียกเป็นกลัก เราธุดงค์ สมัยเรานะ มันมากก็ไม่ได้ หนัก เทียนเอาไป เวลาเช้าขึ้นมารีบจุดนะ พอจุด เก็บบริขารเสร็จ ดับเลย รีบดับเทียนทิ้งเลย เพราะเทียนมันจำเป็นไง แล้วจะว่าเทียนไว้เดินจงกรมๆ มาอยู่นี่ยังลำบาก ดูสิ พระมาอยู่ที่นี่ต้องจุดเทียนเดินจงกรมกันน่ะ เราเดินจงกรม ไม่มีหรอก

แล้วไปอยู่ป่านะ มาอยู่ป่านะ ประสาเรา นี่ไม่ใช่มาพูดเพื่อมาเรียกร้องศรัทธานะ เวลาวันพระมา ชาวบ้านเขามา มันก็มีเทียน เทียนอีสานเป็นห่อๆ เล็กๆ แล้วพระมาแบ่งกันคนละอันสองอัน แล้วถ้าไม่ได้ ตัดคนละครึ่ง สมัยอยู่บ้านตาด เทียนไม่มีใช้ เทียนกับสีย้อมผ้า สีย้อมผ้าไม่มี เทียนนะ เช้าขึ้นมาไอ้ตรงตู้ข้างบน เราลงมาทำข้อวัตร ใครมาถึงก็เปิดพรึบ! มีเทียนหรือเปล่า ถ้ามีเทียนนะ ไอ้นั่นถูกรางวัล เทียนใช้ไม่มีหรอก แล้วท่านดุ แล้วเราอยู่ที่นั่นน่ะ เวลาฉันข้าว พรสวรรค์เวลามันเอามาเป็นลัง ลังนมตราหมี ท่านก็ถาม นั่นอะไรน่ะ เพราะสมัยก่อน สบู่ลักส์ สบู่ ทิชชู เทียน สีย้อมผ้า ไม่มีหรอก ทุกคนไม่กล้าให้เพราะท่านดุ ทีนี้มันก็ไปซื้อกันวงใน พรสวรรค์เป็นคนเอาเข้ามา

แล้วสุดท้ายก็ปรึกษากัน เราบอกนพดล นพดลว่าเทียนมันไม่มี แล้วเทียน โธ่! มันของ เนาะ แต่ด้วยความดุของท่าน นพดลก็เลยติดต่อ ดร.เชาวน์ พอติดต่อ ดร.เชาวน์ ตอนหลัง ดร. แพ็คเข้ามาเป็นลังๆ เลย โอ้! โล่งอก ไม่อย่างนั้น เปิดเลยนะ เทียน ไฟแช็ก นี่พูดประสาเรานะ ประสาเรา ใครพูดอย่างนี้ปั๊บ ใครไปที่โรงจักรอย่าตกใจนะ เทียนล้นห้องเลยล่ะ เพราะเดี๋ยวนี้ที่ไหนเขาไม่ใช้เทียนนะ เขาถวายแต่เราๆ ไปดูที่โรงจักรสิ เทียนล้นเลย เมื่อวานไปโป่งกระทิง ขนไปคันรถหนึ่ง ไปแบ่งคนละครึ่ง

เพราะเวลาในป่านะ ชาวบ้านเขายังขอเลย เมื่อวานพระตั้วบอกว่า ไอ้เทียนบาทเดียว ชาวบ้านมาขออยู่ ชาวบ้านเขาขอไปใช้ เพราะพวกกะเหรี่ยงพวกในป่าไม่มีใช้หรอก เพราะไฟมันเข้าไม่ถึง นี่พูดถึง พอมันอยู่ปั๊บ มันต้องระวัง ไอ้พวกเรามันไม่เคยระวัง ประสบการณ์อย่างนี้ ยังดีไม่ติดมุ้ง ติดมุ้ง เผาไปหมดเลย มันต้องจุดต้องดับไง นี่สติ การฝึกสติ

แล้วคิดดูซิว่าถ้าเราเอาของเข้าไป ถ้าไม่เก็บรักษานะ มันเหมือนเราปลูกบ้านอยู่ น้ำป่ามา ครัวเครอมันพัดไปหมดนะ นี่เราอยู่บ้านอยู่ในเมืองกัน เราไม่เคยเห็นน้ำป่า ไม่เคยเห็นน้ำท่วม เพราะอะไร เพราะเทศบาล ระบบระบายน้ำดีหมดใช่ไหม เราไปอยู่ในป่าในเขา มันอยู่ที่ทางน้ำ เรานี่โดน ธุดงค์ไปนะ กลางคืนไปอยู่ แล้วพอฝนมันตกหนัก พอฝนตกหนักปั๊บ ลดกลดลงมา ทีแรกไม่เป็น โง่ ก็อ่านแต่หนังสือ ประสบการณ์ไม่มี ก็ลดกลดมาเฉยๆ ลดกลดมา มันก็ไหล มันก็เปียกมุ้งใช่ไหม พอเปียกมุ้งขึ้นมา พอออกบิณฑบาต แล้วมาฉันข้าวเสร็จ ต้องขึงผ้าตากมุ้งแล้ว แล้วเราดูหมู่เพื่อน เอ๊ะ! ทำไมมุ้งเขาไม่เปียกวะ นี่ประสบการณ์มันมีนะ เวลาฝนตกปั๊บ เขาไม่ลดกลด เขาเก็บมุ้งหมด เก็บของที่เปียกหมด พวกของใช้ยัดเข้าบาตร แล้วเรามีผ้าร่มปูนอนใช่ไหม วางกองไว้ แล้วหยิบแต่ละมุมขึ้นมาผูกแล้วพาดคอเลย อยู่ที่เราใช่ไหม

พอน้ำป่ามันรวมตัว ฝนมันตก มันไหลมานะ มันไหลพัดเราอย่างนี้เลย น้ำน่ะ เราอยู่ในป่า ถ้ามันไปตกหลายชั่วโมงนะ หลายชั่วโมงปั๊บ มันรวมตัวแล้วมันจะไหลลงมา ฉะนั้น พอประสบการณ์อย่างนี้ปั๊บ ต้องอยู่ในที่ดอน เวลากลางคืนต้องหาที่ดอนเลย ถ้าหน้าฝนนะ นี่ขนาดออกธุดงค์ไม่ใช่หน้า ออกพรรษาแล้ว พ้นหน้าฝนแล้ว แต่มันก็ยังมีอยู่ มีฝนตก แล้วฝนในป่าชอบตกวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ฝนตกทุกทีเลย ทีนี้พออย่างนั้นปั๊บ ก็ต้องหาที่ดอน ไม่ก็ต้องหาเพิง เขาเรียกว่าถ้ำ ภาษาอีสานเนาะ แต่ภาษาเรามันไม่ใช่ถ้า

ถ้าถ้ำภาคกลางนะ ถ้ำต้องเข้าไปเป็นถ้ำเลย แต่อีสาน แค่เพิงหน่อยเดียวก็เรียกถ้ำแล้ว เพราะมันเป็นภูเขาหินทราย ไม่ใช่หินปูนอย่างเรา ถ้าเป็นภาคกลาง หินปูนมันจะเป็นถ้ำใหญ่ ถ้าเป็นหินทรายมันจะเป็นเพิงหน้าผาเฉยๆ ถ้าใครเห็นเพิงหน้าผานะ โอ๋ย! โชคดี ได้หลบฝน ประสบการณ์อย่างนี้มาก แล้วพอโยมมาอยู่อย่างนี้นะ มันเรื่องเด็กๆ เด็กเล่นขายของ

แล้วอยู่ป่านะ พออยู่ป่าอย่างนั้นมันจะตื่นตัวตลอด ประสาเรานะ เหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง สัตว์ตัวหนึ่งนะ แต่สัตว์ตัวหนึ่งมันอยู่โดยที่เป็นสัตว์ มันไม่มีประโยชน์ใช่ไหม แต่คน แล้วไปอยู่ในป่าดำรงชีวิตแบบสัตว์ คือมันอยู่ในป่า สัตว์มันปรับตัวอยู่ได้ในป่าตลอดทั้งชีวิตของมัน มนุษย์เข้าไปเพื่อความวิเวก แล้วไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นเครื่องอำนวยความสะดวก เราจะอยู่อย่างไร ต้องอยู่ได้ แล้วพออยู่ปั๊บ มันฝึกนะ มันมีประสบการณ์นะ เดี๋ยววันหลังสบายมาก พอสบายมาก มนุษย์กลับไปสู่ตัวเราเอง กลับไปสู่พื้นฐานของเราใช่ไหม ทีนี้ไอ้พวกสิ่งอุปโภคบริโภคทางโลกแทบไม่จำเป็นเลย แต่พวกมนุษย์เราอ่อนแอหมดนะ เพราะทางรัฐเขาจัดการให้ ไฟดับหน่อยเดียวนะ อเมริกาไฟดับ ๒-๓ ชั่วโมง เสียหายเป็นแสนๆ ล้าน เฉพาะไฟดับนะ ไฟดับแค่ ๒-๓ ชั่วโมงนะ นิวยอร์ก ความเสียหายคิดเป็นค่าหลายแสนล้านเลย นี่ไง พวกเรามันไปยอมจำนนกับอันใดอันหนึ่ง

เราจะย้อนกลับมาเรื่องสงฆ์ ภิกษุรวมกัน ๔ องค์เป็นสงฆ์ ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นสังฆะ เป็นสงฆ์ ทีนี้เป็นสังฆะ เป็นสงฆ์ มันกระจายไปใช่ไหม ต่างคนต่างเข้มแข็งใช่ไหม เรามองนาลันทาไง นาลันทานะ พูดถึงเวลาทุกคนเป็นปัญญาชนใช่ไหม ก็จะมาเรียนที่มหาวิทยาลัยนาลันทา เวลาอิสลามเข้ามานะ หมดเลย ศาสนาพุทธหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะดึงอำนาจเข้ามาอยู่ที่เถรสมาคมไง ทุกอย่างต้องไปรวมศูนย์อำนาจที่นั่นไง แล้วถ้าศูนย์อำนาจคนนั้นคนดีคือดีมากเลย แล้วถ้าศูนย์อำนาจนั้นคนไม่ดีล่ะ ศาสนาหมดอีกเหมือนกัน

หลวงตาท่านบอกไม่ใช่ หลวงตาท่านบอกว่าสังฆะเป็นใหญ่ คือกระจายอำนาจไง ที่ไหนก็แล้วแต่ ๔ องค์รวมกันเป็นสงฆ์ สงฆ์ทำสังฆกรรมได้ทั้งหมด มันไม่จำเป็นจะต้องไปรวมศูนย์ที่อำนาจนั้น ทีนี้มันกระจายออกไปๆ นั่นกระจายอำนาจ ยิ่งกระจายอำนาจมันยิ่งแผ่ออกไป

ถ้าไม่ธุดงค์ เห็นอย่างนี้มันก็ว่าเป็นเรื่องแปลก แต่ถ้าพระออกธุดงค์ไปแล้วนะ เข้มแข็งนะ เรื่องอย่างนี้นะ มันเป็นชีวิตประจำวันที่เหมือนกับโบราณที่ไม่มีไฟฟ้าไง ทุกคนเขาอยู่กันอย่างนั้น เขาอยู่กันโดยที่เขาจะรักษาของเขาได้เต็มที่เลย นี่พูดถึงเปรียบเทียบ นี่มันถึงเห็นผลของมันไง ทีนี้เราไม่คิดอย่างนั้นไง

“เดี๋ยวนี้โลกเจริญแล้ว เราทำไมไม่ยอมรับความจริง”

โธ่! มันเจริญไม่จริงหรอก พูดถึงไฟดับหมด ไฟฉายมีประโยชน์มากเลย ทีนี้พอมีไฟ ไฟฉายไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไฟฉาย พวกแบตพวกอะไรมันยังใช้ประโยชน์ได้ นี่พูดถึงการอยู่ป่า จะบอกว่าให้เห็นคุณไง ให้เห็นคุณ ไม่ใช่เห็นที่ความลำบากนะ เห็นคุณที่ฝึกจิต ถ้าเราไปอยู่ การดำรงชีวิต ใช่ มันทุกข์ มันไม่สะดวกสบาย ถ้าอยู่ทางโลกมันสะดวกสบายมากเลย แต่เป็นคนพลั้งเผลอ เป็นคนที่ไม่มีสติ เป็นคนหลักลอย ไม่รู้จักตัวเองไง แต่พอมาใช้ชีวิตแบบนี้ปั๊บ ทุกข์ไหม ทุกข์ แต่ตื่นตัวตลอดเวลา ตานี่พองเลย สตินี่พร้อมหมดเลย พร้อมทำอะไรได้หมด มันไม่ผิดพลาด นี่ไง การฝึกไง

ย้อนกลับมากรรมฐาน พระป่า “โอ๋ย! พระป่าทุกข์ๆ ยากๆ ไปอยู่วัดบ้านดีกว่า นอนห้องแอร์” มันก็สบาย สบายแต่ร่างกาย แต่จิตใจมันเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราออกมาอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับทุกอย่างเป็นความเป็นจริง ทุกข์ไหม ทุกข์ ร้อน โอ้โฮ! เหงื่อซกเลย

เราไปอยู่ที่โพธารามใหม่ๆ พระเขามาเยี่ยม เขาไปพูดข้างนอก พระมาเล่าให้ฟัง “ไอ้หงบมันโง่ฉิบหายเลย แค่เครื่องดูดน้ำตัวเดียวมึงก็ซื้อไม่เป็น” อยู่โพธารามมันใช้เอาไง เขาบอกโง่ฉิบหายเลย แค่ดูดน้ำตัวเดียวมันก็ทำไม่ได้ แต่เขาไม่ได้คิดมุมกลับไง คิดมุมกลับว่า เราไม่เอา เราต้องการข้อวัตรไง เราต้องการให้พระทำ ให้พระเขาได้ออกกำลังกาย นี่ไง ในวัตรปฏิบัติของพระไง ตกเย็นขึ้นมา น้ำใช้น้ำฉัน น้ำเขียงเท้า น้ำล้างบาตร ตกเย็นข้อวัตรพระป่า จะเข็นกันที่บ้านตาด เตรียมพร้อม พอเช้าขึ้นมา น้ำใช้น้ำฉัน พวกเราเป็นคนหากันมาเอง เรารักษากันมาเอง เพราะอะไรรู้ไหม ไม่เป็นอามิส ของที่เป็นอามิสใช่ไหม อย่างถ้าโยมหามา ถ้าเขาไม่รู้ขึ้นมานะ หลวงปู่ฝั้น น้ำ เมื่อก่อนมันลำบากใช่ไหม เขาก็มีโอ่งน้ำไว้ กองไว้ แล้วเวลาพระก็จะมีกระบอกไม้ไผ่ เขาเรียกว่าธมกรก กดลงไป แล้วเอามาใส่ในกาน้ำ มาต้มน้ำ เอามาใส่กาน้ำเพื่อฉันใช่ไหม ทีนี้ถ้าพวกโยมไม่เป็น เอาแก้วน้ำลงไปตัก แก้วน้ำ เราดื่มน้ำ ริมฝีปากเราโดนแก้วน้ำนั้น พอลงไปตัก หนึ่ง อามิสของเราลงไป หลวงปู่ฝั้นสั่งเททิ้งหมดเลย แล้วทำใหม่ มันเป็นอามิส

อย่างบาตรเราล้างเราเช็ดกันไป ขอบบาตรทุกอย่างจะให้มันสะอาด ถ้าพอมันโดนความร้อน ไขมันออกมา ไขมันสะสม นี่สันนิธิ เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เวลาเช็ดบาตรล้างบาตร ถ้ามันเป็นไขมันเคลือบไว้ พอมันโดนความร้อน ไขมันจะออกมา ไขมันนั้นสะสมไว้ข้ามคืน พอสะสมไว้ข้ามคืน อาหารนั้นไปเลอะไขมันนั้น เป็นสันนิธิ คือว่าของเก็บไว้แรมคืน มันเป็นอามิส มันเปื้อน ภิกษุฉัน เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ มันฝึกสติ การเก็บการล้างนะ มันอยู่ที่ครูบาอาจารย์จะชี้นำ

เราอยู่สายหลวงปู่ฝั้นมาก่อน อยู่กับหลวงปู่จวน ไปหลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน เราก็ดู หลวงปู่แหวนทางเชียงใหม่ เราไปอยู่กับท่านนะ เช็ดบาตรเสร็จนะ ทีนี้ทางเหนือมันหนาว เขาจะต้มน้ำไว้หม้อหนึ่ง หม้อสแตนเลส พอเช็ดบาตรล้างบาตรเสร็จต้องเอาน้ำร้อนใส่บาตร ทางเชียงใหม่ นี่วิธีที่วัดหลวงปู่แหวน

แล้วมาที่วัดหลวงปู่ฝั้น ของหลวงปู่ฝั้นใช่ไหม บาตรท่านต้องให้คนอุปัฏฐากเฉพาะคนที่ถือ แล้วถ้าไม่ใช่องค์นั้นไปจับนะ นี่พระเล่าให้ฟังนะ เวลาท่านคุยกับโยม ท่านจะมองที่บาตรตาเขียวปั้ดเลย คือว่าเมื่อก่อนมันไม่มีสแตนเลส มันเป็นบาตรเผา ถ้ามันกะเทาะปั๊บ ไอ้ที่เคลือบไว้มันจะร่อนทันที สนิมมันจะเกิด ท่านจะให้เฉพาะคนจับ ถ้าเป็นคนอื่นมาต้องฝึกให้เป็นก่อน

แล้วเรื่องอย่างนี้ เดี๋ยวนี้สแตนเลสมันมีมากขึ้นมา ตอนนี้พระก็หมุนกลับ หมุนกลับไปใช้บาตรเหล็กอีก พอบาตรเหล็ก เวลาธุดงค์ไป เวลาถือ ทำไมมันมีสบบาตรแล้ว มันยังมีถุงบาตร แล้วเวลาไป เราจะเอามุ้งบาตรล้อมมัน เพราะมันกระทบไง เวลาขึ้นรถไปกระทบ หรือบาตรมันกระทบกันมันจะแตก

โอ๋ย! การรักษาบาตรนะ ตั้งแต่หลวงปู่มั่นลงมานะ คือว่าเหมือนกับพ่อเนื้อ เหมือนกับปู่ย่าตายายที่ชำนาญมาก แล้วพวกเราเริ่มรุ่นลูกรุ่นหลานชักเริ่ม ของที่ได้มาง่าย มันไม่เห็นคุณค่า ของที่ได้มายาก แล้วย้อนกลับนะ ย้อนกลับ เราไปดูวัด พระทั่วๆ ไปในเมือง เพราะเราเคยบวชมา วัดเฉลิมฯ หรือวัดต่างๆ เวลาเขาบิณฑบาตมาเสร็จแล้วเขาเอาข้าวเทใส่ภาชนะแล้ว บาตรเขาจะคว่ำทิ้งไว้เลย สนิมขึ้นแดงเลย แล้วพรุ่งนี้เช้าจะออกค่อยมาล้างบาตรกันใหม่

แล้วย้อนกลับมาพวกเรา เฉพาะบาตรนี่นะ ในพระไตรปิฎกเล่มหนึ่งเลย ถือบาตรไปเป็นอาบัติทุกกฏ ถือบาตรนี่ พระมันทำกัน มันผิด ถือบาตรไปนะ ถือบาตรอยู่ ห้ามเปิดประตู เพราะมันจะชน ก่อนเปิดประตูต้องวางไว้ แล้วเปิดประตูก่อนแล้วค่อยเอาเข้า ถือบาตรไป ประทุษร้ายบาตร คำว่า “ประทุษร้าย” คือเผลอ คือมันอาจจะกระทบกระเทือนอะไรได้ เหมือนที่เราประทุษร้ายคนนะ ถ้าบาตรต้องคล้องคอ จับไป ถ้าทำไม่ดีเขาเรียกว่าประทุษร้าย คือมันมีโอกาสพลาด ถ้ามีโอกาสพลาด เพราะถ้าบาตรมันเสียหายปั๊บ กว่าจะหามาได้ หามาได้เสร็จแล้วนะ กว่าจะระบมได้ กว่าจะต้องระบม ๗ ไฟ ๗ ไฟ หมายถึงว่า ฟืนที่หุงข้าวได้สุกหม้อหนึ่งถึงมื้อหนึ่ง นั่นคือไฟหนึ่ง ประมาณฟืนเท่านั้น ๗ กองนั้น ระบมบาตรขึ้นมา เนื้อเหล็กมันจะเกิดผิวที่มันเคลือบ สิ่งที่ได้มานะ คนที่ค้นคว้ามา

อย่างพวกเรานะ คนจีน เสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีน แล้วเรามาสร้างเนื้อสร้างตัว โอ้โฮ! เราจะดูแลรักษาเงินทองอย่างดีเลย ลูกหลานมันไม่รู้จักหรอก ลูกหลานมันได้มาสะดวกนะ เออ! กูมีสตางค์ สตางค์ทำไมจะทำประโยชน์ไม่ได้ แต่ไอ้พวกพ่อแม่ปูย่าตายาย ไอ้เสื่อผืนหมอนใบ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ เสื่อผืนหมอนใบที่ขุดค้นขึ้นมา ที่แสวงหามา แล้วครูบาอาจารย์เรา เพราะอะไร เพราะหลวงปู่มั่นกับหลวงปู่เสาร์ เราอ่านประวัตินะ แล้วเราใช้ไตร่ตรองดู หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น สมเด็จมหาวีรวงศ์ฯ จะให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดอุบลฯ แล้วไม่ยอม หนีออกมา พอหนีออกมา สั่งภาคอีสานทั้งภาคไม่ให้ใส่บาตรหลวงปู่มั่นเลย

เราจะบอกว่า เพราะตอนนั้นท่านเป็นสมเด็จฯ ใช่ไหม แล้วเจ้าคณะมณฑลสามารถปลดผู้ว่าฯ ได้ มีอำนาจมาก สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีอำนาจมาก พระมีอำนาจมาก แล้วสั่งพระเด็กๆ พระเด็กๆ มันไม่ฟัง มันศักดิ์ศรีไง ก็มีแรงต้าน แล้วพอมาหลวงปู่ลี วัดอโศการาม ที่มาเอาสมเด็จฯ กับอาจารย์ไม่ลง มาลงกับลูกศิษย์ไง หลวงปู่ลีเพ่งกสิณไฟเข้าไปไง สมเด็จฯ อู๋ย! ทำไมเราเป็นไข้ พอหลวงปู่ลีมาหาย อ้าว! หายก็หาย เดี๋ยวก็หนาวเดี๋ยวก็ร้อน นี่มันเห็น มันเป็นบารมีใครบารมีมัน

เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านใช้ชีวิตของท่าน ท่านใช้ประสบการณ์ของท่านเลย เพื่อวางรากฐานไว้ แล้วครูบาอาจารย์รุ่นต่อๆ มาได้สมบัติอันนี้มา แล้วถ้าไปศึกษานะ ธรรมวินัยนี้กว่าจะได้มา มันมีอยู่ในตำรา แต่ไม่มีใครทำ แล้วพอทำขึ้นมาก็ถือว่าเด็กอวดดี ผู้ใหญ่ไม่ให้ทำ บังคับไว้ แต่ของเราทำขึ้นไป สายหลวงปู่ฝั้นเล่าให้ฟัง กปฺปิยํ กโรหิ เมื่อก่อนมันก็มีอยู่ในตำรา แล้วไม่ให้ทำ หาว่าพระเด็กๆ อวดดี

จนหลวงปู่ฝั้นไปเปิดในพระไตรปิฎกให้สมเด็จฯ ดูไง นี่ครับ มันมาจากพระไตรปิฎกครับ ขณะที่ว่าถ้าเป็นข้อ เป็นปม เราต้องกัปปิยังให้ออก แต่ถ้าเป็นเมล็ดที่แข็ง เขาใช้จี้ด้วยไฟ ในพระไตรปิฎกมีชัดเจนหมดเลย แต่ไม่มีใครทำ ปล่อยทิ้งกันมาๆ แล้วพอไปทำ พอไปทำปั๊บ ทำโดยที่ว่าทำไป ฝ่ายหนึ่งเห็นโดยที่ไม่ได้อธิบายก็หาว่าเด็กอวดดี หลวงปู่ฝั้นน่ะ เรื่องนี้มาได้อยู่ที่วัดป่าสาลวัน มาอยู่ที่โคราช หลวงปู่ฝั้น ด้วยความนิ่มนวลของท่าน ด้วยบุญบารมีของท่าน พยายามอธิบายให้พระผู้ใหญ่ยอมรับ

สิ่งที่ได้มานี่ไม่ใช่ของง่ายๆ นะ เพราะอะไร เหมือนพวกเราค้นคว้าโดยพื้นฐาน แต่ส่วนยอดถือว่ามีสถานะ ส่วนยอดไม่ยอมรับ แล้วต้องพยายาม เราต้องอธิบายให้ส่วนยอดยอมรับเนาะ ยากไหม นี่พูดถึงการอยู่ป่า แล้วไปเห็นคุณค่าของมัน

เราบวชใหม่ๆ เราไม่รู้หรอกทำไม ธมกรกใช้อย่างไร เห็นเขามีก็มีอย่างนั้นนะ พอไปอยู่ป่านะ ถ้าไม่มีธมกรก แล้วมาอ่านพระไตรปิฎกไง ภิกษุเดินทางไม่มีธมกรกเป็นอาบัติทุกกฏ เพราะเมื่อก่อนมันไม่มีรถใช่ไหม เราต้องเดินทางด้วยเท้า ทีนี้ถ้าเดินทางด้วยเท้า ด้วยธมกรก ถ้าเจอแหล่งน้ำ ถ้าไม่มีธมกรกจะกินน้ำอย่างไร ธมกรกคือน้ำ ไอ้ธมกรกที่เราบวช ไอ้ที่มันเหลืองๆ นั่นคือน้ำ บาตรนี้คือข้าว จีวร ปัจจัย ๔ ไง

ปัจจัย ๔ นะ น้ำ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคใช่ไหม บริขาร ๘ ปัจจัย ๔ มีเท่านี้พอ พอมีเท่านี้พอปั๊บ อย่างอื่นมันเป็นเรื่องปลีกย่อยแล้ว แล้วเราอยู่ในธรรมวินัยไม่อดตายหรอก อยู่ได้แล้ว ชีวิตนี้อยู่ได้แล้ว

อันนี้พูดถึงถ้าเราศึกษาธรรมวินัยนะ แล้วเราใช้ชีวิตนะ มันทำให้เราตื่นตัว การเป็นอยู่ให้ตื่นตัวให้เราภาวนาให้ดี แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกโยมไปบอกว่า “ทำไมวัดนี้ไม่เห็นมีไอ้นั่นเลย ทำไมวัดนี้ไม่เห็นมีไอ้นี่เลย ทำไมไม่เอานั่นเข้ามา ทำไมไม่เอาไอ้นี่เข้ามา” ไม่รู้เลยว่าทำลายโอกาสการภาวนาเยอะมากเลย เราพยายามจะต่อต้านตรงนี้ไว้ พยายามจะไม่ให้เข้ามา ให้เข้ามาให้น้อยที่สุด แล้วจะไม่ให้เข้ามา พอไม่ให้เข้ามาปั๊บ คนที่เข้ามาจะน้อยใจทั้งนั้นน่ะ ตลาดมันเกลื่อนไปหมดเลย ทำไมไม่เอาเข้ามา

อยู่ที่โพธาราม เขาถามนะ “ไฟไม่มีคนเอาให้หรือ ถ้าไม่มีคนเอาเข้าไปให้จะออกให้” เขาสงสารเรานะ เขาบอกต่อไฟเข้ามา ไม่มีใครทำบุญใช่ไหม ถ้าไม่มีใครทำบุญ เขาจะทำให้

เราก็บอกไม่เอา ไม่เอา

เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจหรอก ทีนี้พออย่างนั้นปั๊บ พอเราใช้พวกเทียน เขาก็เหมือนกับว่าในประเทศไทยไม่มีใครใช้แล้ว มันก็ไหลมาที่นี่ที่เดียว โอ้โฮ! กลายเป็นภาระน่าดูเลย นี่พูดถึงสิ่งที่ความเป็นอยู่ สิ่งที่เราเป็นอยู่กันอยู่นี่ ถ้าเราเข้าใจมันนะ เราจะเห็นคุณค่าของมันมาก แต่ถ้าเราไม่เข้าใจมัน เราจะน้อยใจ แล้วพอกิเลสมันขึ้นมา กิเลสเรา “เฮ้อ! กูไปที่สบายๆ ดีกว่า” เยอะมากเดี๋ยวนี้ เขาพูด “ไม่มาหาหลวงพ่อหรอก อยู่กรุงเทพฯ นั่งห้องแอร์” เขาไปภาวนาห้องแอร์กันไง

โอ๋ย! เอ็งไปเหอะ ตามสบายเลย

เขาบอกมาที่นี่มันร้อน มาที่นี่มันทุกข์ อยู่กรุงเทพฯ ดีกว่า ห้องแอร์ แล้วเดี๋ยวนี้เขาสร้างกันวัดภาวนาเจอห้องแอร์ทั้งนั้นเลย อย่างนี้ถ้าเป็นห้องแอร์นะ เหมือนที่เด็กๆ มันพูด ไปตากแอร์ที่ศูนย์การค้าดีกว่า มันเพลิดเพลินกว่า แล้วเราก็คิดถึงทางโลกนะ ที่เขาเอาวัดไปที่ศูนย์การค้า อันนั้นน่าคิด อันนี้ประเด็นหนึ่งนะ

อีกประเด็นหนึ่งอย่างที่พูดเมื่อกี้ เขามาถามว่า เขามาพูดทีแรกเลย บอกว่าอยากไปนิพพาน

เราถามเขากลับว่าใครจะไปนิพพาน ใครจะไป

พวกเราปฏิบัติเราไม่รู้นะ ทุกคนคิดว่าอยากจะไปนิพพาน แล้วใครจะไปล่ะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเขาปฏิเสธสมาธิ ถ้าปฏิเสธสมาธิ ตัวสมาธิ ตัวจิต เราจะบอกว่าจิตไปนิพพาน เราเข้าไปนิพพานกันไม่ได้นะ เพราะเรามีเนื้อหนังมังสา เรามีทุกอย่างพร้อม ไปนิพพานไม่ได้หรอก นิพพานไปได้แต่นามธรรม แล้วถ้ามึงไม่นามธรรม นามธรรมคืออะไร นามธรรมคือสิ่งที่เป็นความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้ ก็ไม่ใช่

นามธรรมเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ถ้านามธรรมเป็นสิ่งที่จับต้องได้นะ เราถึงทำสมถะ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน แต่ด้วยปัญญาชนเขาบอกว่าสมถกรรมฐานเสียเวลา ไม่ต้องทำ ให้ทำวิปัสสนาเลย วิปัสสนาสายตรง วิปัสสนาสายตรง

ถามกลับว่าอะไรเป็นวิปัสสนา ใครวิปัสสนา ขณะวิปัสสนา ใครทำ

มันตอบไม่ได้ พอเขาพูดว่าเขาจะไปนิพพาน เราถามกลับ วันนั้นเราถามกลับเลย ใครจะไปนิพพาน พอเราอธิบายปั๊บ เราอธิบายเลย จิตต้องไปนิพพาน พอจิตนิพพาน จิตอยู่ที่ไหน เราถึงทำพุทโธๆ กัน นี่ไง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะบอกว่าสมาธิคือจิต จิตคือสมาธิ มันก็ได้ แต่บอกว่าสมาธิเป็นจิต จิตเป็นสมาธิ ผิดแล้ว ผิดเพราะอะไร เพราะจิตเป็นสมาธิ เราก็นั่งอยู่นี่ เราก็มีจิตอยู่ แล้ว ทำไมไม่เป็นสมาธิล่ะ ก็นั่งอยู่นี่ก็มีทุกคน มีจิต ทำไมไม่เป็นสมาธิล่ะ

ทีนี้เป็นสมาธิ จิตมันเป็น แต่มันเป็นเพราะมันมีความสงบของมัน ทีนี้มีความสงบของมัน เราถึงต้องกำหนดพุทโธๆๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ เพราะมันต้องเป็นสมาธิก่อน พอเป็นสมาธิแล้วถ้ามันเกิดปัญญามันจะเป็นโลกุตตรปัญญา

เราจะบอกว่า ปัญญาในการชำระ ที่ว่าวิปัสสนาๆ มันไม่ใช่ปัญญาอย่างพวกเรา ปัญญาอย่างพวกเรานี้เขาเรียกโลกียปัญญา คือปัญญาของกิเลส ปัญญานี้เกิดจากฐานของจิต เราจะบอกตรงนี้นะ ฐานของจิต คือตัวจิตเราไม่เคยเห็นมัน แล้วความคิดออกมาจากฐานของจิตหรือออกมาจากความรู้สึก ถ้าออกมาจากความรู้สึก มันเป็นความคิดนั้นออกไป แล้วเราตามรู้อาการของจิต ตามความคิดไง ให้ความคิดดับ

ความคิดเกิดที่ไหน เกิดจากฐานของจิตใช่ไหม แล้วเราไปดูที่ความคิด ความคิดดับแล้วจิตอยู่ไหน แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิหรือกำหนดพุทโธ มันเข้าไปถึงฐานของจิต ไอ้ตัวฐานนั้นน่ะ ตัวนั้นจะไปนิพพาน ไอ้ตัวนั้นน่ะ ไอ้ตัวจิตนั่นน่ะ ถ้ามันทำลายมัน ทำลายที่มัน มันจะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนถึงที่สุดมันจิตเดิมแท้ผ่องใส ไอ้จิตเดิมแท้ตัวนั้นมันจะเป็นผู้ที่จะเข้าถึงนิพพาน เพราะอะไร เพราะ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ

วันนั้นอธิบาย เพราะอธิบายจบแล้วโตมาบอกทีหลังว่าเขาเป็นผู้สอน ถ้าเป็นผู้สอน เราจะอธิบายมากกว่านี้อีก แต่วันนั้นเราเข้าใจว่าเขาเป็นผู้เรียน ไปเรียนอภิธรรมกันไง ถ้าเรียนอภิธรรมมา ผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่ง ถ้าผู้สอนมันต้องแบบว่าแตกแขนงมาก พอบอกเป็นผู้สอน เราถึงแปลกใจ แปลกใจอยู่อันหนึ่ง อันที่ถามว่า ให้ถามมาเลย จะไปนิพพานอย่างเดียว ไม่ถามอะไรเลยนะ คือเอาที่หลักเลยไง

นิพพาน ถ้าอธิบายถูกก็ถูก ถ้าอธิบายผิด คนนี้ไม่เป็น เขาถามตรงนี้เลยนะ เขาถามว่าจะไปนิพพาน แล้วต้องอธิบายนิพพาน ถ้าอธิบายนิพพานผิด แสดงว่าไม่มีหลักไง คืออาจารย์องค์นี้โกหก

ทีนี้พออย่างนี้ปั๊บ เราถึงอธิบายว่าใครจะไปนิพพานก่อน แล้วพูดถึงนิพพาน เราถึงบอกว่านิพพานหรือสิ่งที่เป็นอริยภูมิ ทุกคนไม่สามารถจินตนาการได้ แต่นรกสวรรค์ ทุกคนสามารถจินตนาการได้ เพราะจิตเราเคยเกิดเคยตายในวัฏฏะ จิตทุกดวงเคยหมุนเคยตายในวัฏฏะ เคยประสบมา สิ่งที่ประสบมาเหมือนคอมพิวเตอร์มีข้อมูล มีข้อมูลเลยจินตนาการได้

เราจะถามกลับเลย ทุกคนที่นั่งอยู่นี่กลัวผี ใครปฏิเสธบ้างว่าไม่กลัวผี เพราะอะไร เพราะตัวเองเคยเป็นผีมาไง ตัวเองเป็นผี ผีตัวใหญ่คือตัวนี้ ผีตัวใหญ่ที่มันนั่งอยู่นี่ ผีตัวใหญ่ เพราะเวลาตายไปมันเป็นผี ฉะนั้น เราถึงแขยง เราถึงมีสิ่งที่สะเทือนเรื่องภูตผีปีศาจ เรื่องนรกสวรรค์ จิตนี้เคยสะเทือนมาก แต่พูดถึงนิพพานสิ ทุกคนจินตนาการไม่ได้ เพราะมันไม่เคยไป คือมันไม่มีข้อมูลไง ทุกดวงจิตไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ แต่ถ้าเรื่อวัฏฏะ ทุกดวงจิตมีข้อมูลหมด ทีนี้สิ่งที่มีข้อมูลในใจ สิ่งที่มีอยู่ มีเชื้ออยู่ เชื้อนั้นพอมันสะกิดขึ้นมามันถึงได้มีความยอกใจ แต่ถ้ามันไม่มีเชื้ออยู่ ไม่มี

ทีนี้เวลาเขาพูด เขาพูดไปประสาเขาไง ถึงว่าจะไปนิพพาน ใครจะไป พออธิบายถึงสิ่งที่จะไปนิพพานก่อน แล้วถึงอธิบายวิธีการไปนิพพาน แล้วอธิบายถึงที่สุดของการปฏิบัติ อธิบายให้ฟังเพราะว่ามันสิ่งที่เป็นไป มันน่าสงสาร นี่เวลามา มาจากสายไหน เราแปลกตรงนี้ แปลกที่ว่าเราจะบอกว่าแทบจะไม่มีจริงเลยก็ใช่ แต่ถ้าไม่มีจริงเลย เช่น หลวงปู่ลี หลวงปู่ลีนี่ของจริง แล้วดูหลวงปู่ลีสิ แล้วดูอย่างการอธิบายธรรมะสิ การอธิบายธรรมะ เพราะอะไร หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ จิตบริสุทธิ์เหมือนกันได้ แต่มันอยู่ที่วาสนาของคน ผู้ที่จะสอน

ทีนี้เวลาเราพูด เราจะย้อนกลับพระพุทธเจ้าเลย ขนาดพระพุทธเจ้าสร้างสมมาบุญญาธิการ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกเลย พุทธภูมิ อย่างพระโพธิสัตว์เตรียมพร้อมเลย เหมือนกับเราเรียนครู เราฝึกสอนต้องเตรียมพร้อมเพื่อจะมาสอนเด็กใช่ไหม แล้วพอจะมาสอน ไม่รู้จะสอนอย่างไรเลย ทางวิชาการมันเหมือนกับไม่มีโอกาสจะสอนได้เลย นี่พูดถึงพระพุทธเจ้านะ ขนาดเตรียมพร้อมแล้ว ทุกอย่างพร้อมแล้ว สร้างทุกอย่างมาพร้อมเลย พอไปบรรลุธรรมจริงๆ ขึ้นมา ทอดธุระเลย จะสอนได้อย่างไร

ทีนี้ย้อนกลับมาสาวกอย่างพวกผู้ปฏิบัติ ขนาดพระพุทธเจ้ายังท้อใจ แล้วอย่างผู้ปฏิบัติมันสร้างบุญบารมีอะไรกันมา คือมันไม่มีความพร้อมไง แล้วถ้ารู้แล้วจะเอาอะไรมาสอน ฉะนั้น คนที่สอน คนที่อธิบายต้องมีบุญญาธิการ คือต้องสร้างมาเยอะ ว่าอย่างนั้นเลย เพราะครูบาอาจารย์เรา เราเชื่อมั่น อย่างหลวงปู่ลี อย่างอาจารย์สิงห์ทอง หลวงปู่เจี๊ยะ

หลวงปู่เจี๊ยะ บอกให้ท่านเทศน์สิ เพราะมาฉันที่กรุงเทพฯ กับเราบอก “หงบเอ้ย เรานี่นะ ทำไมท่านอาจารย์ท่านเทศน์น้ำไหลไฟดับเลยวะ เราเทศน์ไม่ออกเลยนะ แต่ถ้าวันไหนมีคนภาวนาเป็น โอ้โฮ! มันออกๆ”

ถ้าคนภาวนาเป็นถามปัญหา ท่านไหลเลย นี่หลวงปู่เจี๊ยะพูดเอง ท่านบอก “ท่านอาจารย์ทำไมน้ำไหลไฟดับเลย ของเราไม่ค่อยออก” ท่านพูดอย่างนั้น

ไอ้ตรงนี้ ไอ้ตรงเบื้องหลังนี้ ไอ้ตรงการอธิบาย เรายังพูดเลย เวลาอธิบายธรรมะเหมือนสร้างหนังเรื่องหนึ่งนะ มันต้องมีพล็อตเรื่อง มันต้องมีพล็อตเรื่องแล้วมันต้องเขียนบทว่าใครจะเล่นอะไร ตัวไหนเป็นพระเอก ตัวไหนเป็นผู้ร้าย กิเลสกับธรรมไง กิเลสเป็นผู้ร้าย ธรรมะเป็นพระเอก แล้วมีการต่อสู้

เวลาเทศน์ม้วนหนึ่งนะ เทศน์หนหนึ่งเหมือนกับสร้างหนังเรื่องหนึ่ง คือสมมุติขึ้นมาให้เห็นภาพ เพราะสิ่งนั้นเป็นนามธรรม แล้วใครเขาอยากสร้างล่ะ เวลาถึงที่สุดแล้วจิตมันปล่อยหมด เวลาจะออกออกมาคิดมันเหมือนแบกของหนัก ถ้าเราปล่อยหมดแล้วสบายไหม แล้วเราไปแบกของหนัก หนักไหม เวลาคิดก็แบกของหนักไง เวลาคิดมันออกมารับรู้ ต้องออกมาบริหารจัดการมัน เหมือนออกไปทำงาน

เหมือนกัน ถึงบอกว่าเวลาฝึกปฏิบัติ สติไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่สติ แต่เวลาถึงที่สุดแล้วสติกับจิตเป็นอันเดียวกัน เวลาจะออกไปแบกของหนักไง มันกระเพื่อมไง มันรับรู้ อย่างเช่นเราจะแบกของหนัก เราต้องเตรียมตัวใช่ไหม พอขยับ สติก็พร้อมออกมา เพราะเป็นอัตโนมัติ ฉะนั้น พระอรหันต์ไม่หลงในอริยสัจ แต่พระอรหันต์หลงในสมมุติบัญญัติ เพราะสมมุติบัญญัติมันเกิดขึ้นทุกวัน อย่างสวดมนต์นี่บัญญัติ สวดมนต์นี่สวดมนต์ผิดได้ ใครว่าพระอรหันต์สวดมนต์ไม่ผิด

การสวดมนต์คือบัญญัติ บัญญัติพระพุทธเจ้า คือเราท่อง คำท่องผิดได้ไหม แต่ตัวใจผิดไม่ได้ ตัวใจไม่ผิด แต่คำท่องผิดได้ สวดมนต์นี่ท่องนะ เราท่องขึ้นมา พระอรหันต์ผิดตรงนี้ได้ แต่อริยสัจไม่ผิด เพราะมันเป็นเนื้อของใจ เนื้อของใจขยับ มันพร้อมเลย แล้วมันเป็นไปอย่างนั้น

ทีนี้พอมันมีหลักอย่างนี้ แล้วมันย้อนกลับไปดูสิ่งที่ทำกันน่ะ ก็อย่างที่ว่าที่จะไปทำลายพระทุกรูปอะไร มันเศร้าใจ มันเป็นไปไม่ได้ไง มันเป็นไปไม่ได้เพราะนี่มันเป็นวัตถุข้างนอก

มันมีเยอะนะ ทางเชียงใหม่ ลูกศิษย์เขาไปหา เขาบอกมีแต่เศรษฐีทั้งนั้นเลยนะไป เป็นพระเขมร เดี๋ยวนี้พระองค์นั้นตายแล้ว ไปอยู่ เป็นสังคมแบบคอมมิวนิสต์เลย สังคมเขาเป็นส่วนรวมของเขา ใครเข้ามาอยากเป็นโสดาบัน มีทรัพย์สมบัติเท่าไรต้องเอามาเป็นส่วนกลาง ถ้าไม่ติดในทรัพย์สิน นั่นเป็นโสดาบัน ไม่ติดในทรัพย์ ถ้าติดในทรัพย์นั้นยังติดอยู่ ไม่เป็นโสดาบัน ฉะนั้น ใครเข้ามาแล้ว เงินทองมีเท่าไรต้องโอนเข้ามาเป็นส่วนกลางหมด ไม่ให้ติดอะไร โกนหัวหมด ผู้หญิง ผู้ชาย โกนหัวเหมือนกัน

มันเป็นรูป มันเป็นเรื่องโลกๆ เป็นวัตถุ แต่คนไปเชื่อเยอะ เห็นแต่ละแนวทางมา แต่ละแนวทางมา ประสาเรานะ มันเข้าได้ผิวเผินไง มันเข้าไม่ถึงเนื้อหาสาระ มันเข้าได้ที่ความคิด สุตมยปัญญา แล้วพูดถึงว่าเป็นธรรมะไหม เป็น เพราะพูดธรรมะพระพุทธเจ้า แต่ตัวมันเองเป็นไหม ไม่เป็น เพราะความคิดฉันมี ปรัชญาไง แล้วก็คุยกันนะ แล้วพอเป็นปรัชญาใช่ไหม เราก็มีความคิดใช่ไหม ปรัชญานั้นเราเข้าถึงได้ ซื้ดซ้าดเลยนะ โอ้โฮ! โอ้โฮ! แต่สำหรับคนเป็นนะ เศร้าใจ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา

ถ้าภาวนามยปัญญามันต้องมีฐานของสมาธิ ตัวจิต เพราะอะไรรู้ไหม เพราะปัญญาเกิดจากจิตกับปัญญาเกิดจากสมอง โดยสัญชาตญาณของมนุษย์มีสมอง สัญชาตญาณมีขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ที่วงการแพทย์ ที่เขาถามว่าสมองคิดได้อย่างไร

สมองคิดไม่ได้ สมองเป็นสสารนะ สมองเป็นวัตถุ สมองมันคิดเองได้อย่างไร แต่สมองมันได้สร้างขึ้นมาเพราะอำนาจวาสนาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ โครงสร้างของมนุษย์มีสมองควบคุมร่างกาย ทีนี้ประสาทที่ควบคุมมันต้องใช้พลังงานคือตัวจิต ฉะนั้น จิตกับสมองมันทำงานเกี่ยวเนื่องกัน คนเป็นอัลไซเมอร์ คนเป็นเจ้าชายนิทรา ทุกอย่างพร้อมหมด ทำไมมันคิดไม่ได้

ทีนี้โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ มนุษย์มีกายกับใจไง กายกับใจอาศัยเกี่ยวเนื่องกัน ฉะนั้น สมองเฉยๆ คิดไม่ได้ ต้องอาศัยจิต ถ้าจิตเฉยๆ จิตเฉยๆ สื่อกระแสจิตกับจิตได้ อย่างรุกขเทวดา พวกที่ไม่มีกายมนุษย์ไง สื่อกันได้คุยกันได้ ฉะนั้น พอเป็นมนุษย์ สมองที่ว่าเป็นความคิดของสมอง วิทยาศาสตร์คิดได้แค่นี้ไงว่าไอน์สไตน์สมองก้อนใหญ่ ใครอยากมีความรู้มาก ตอนเด็กๆ ลูกๆ ต้องพยายามนอนอย่าให้คว่ำ ให้สมองก้อนโตๆ นี่เขาคิดทางวิทยาศาสตร์ แต่เขาไม่คิดเลยว่ากรรมของจิต กรรมของเด็ก เด็กถ้ามันคิดดี กรรมดีของมัน มันก็ของมันใช่ไหม

เราจะบอกว่าปัญญาโดยสมองไง ปัญญาโดยสมองคือสถิติ คือหมอดู คือการคาดการณ์ เป็นปรัชญา อาศัยจิต ถ้าไม่มีจิต สมองคิดไม่ได้ อาศัยจิต เพราะจิตมันพิสูจน์กัน โดนหลอก หลอกว่านี่เป็นวิทยาศาสตร์ นี่เป็นสัจจะความจริง ในทางวิทยาศาสตร์ต้องมีข้อมูล ต้องมีที่มา พูดต้องมีฐานรองรับ อย่าพูดลอยๆ อย่าเอาอารมณ์ความรู้สึก

แต่เวลาทางธรรม ปัญญาเกิดจากจิต ไม่ได้เกิดจากสมอง เกิดจากสมองนี่เป็นสถิติ เพราะพลังงานมันต้องผ่านจากสมอง สถิติที่ออกมามันถึงเป็นความคิดใช่ไหม แต่เวลาเป็นภาวนามยปัญญา มันตัดสมองทิ้ง มันตัดสมองทิ้งเลย เพราะอะไร เพราะเป็นความคิดของจิต

สมาธิคืออะไร คือฐานของจิต แล้วเกิดจากจิต ไม่ผ่านสมอง ถ้าผ่านสมองนี่เป็นอดีตอนาคต เพราะพลังงานที่ส่งออกมาใช่ไหม อดีตอนาคตใช่ไหม ช่วงเสี้ยววินาทีผ่านมาแล้ว สิ่งที่ผ่านมาคืออดีตหรือยัง ความคิดที่มันคิดออกมาจากจิต พอกระแสที่มันออกไปเป็นอดีตหรือยัง นี่ไง ไม่เป็นปัจจุบันธรรมไง ถึงต้องกลับมาที่สมาธินี่ไง แล้วมันคิดไปเรื่อย ปัญญามันเกิด มันก็ยังเป็นระยะห่าง ที่ว่าระยะห่าง ความคิดมันยังหมุนอยู่เรื่อยๆ แล้วเราฝึกบ่อยๆ ใช้ปัญญาบ่อยๆ ระยะห่างมันสั้นเข้ามา แคบเข้ามา คือเราจะทันความคิดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความคิดไง ระยะห่างที่ว่าเก่งๆๆ ว่างๆๆ มันยังมีระยะห่างอยู่

หลวงตาท่านบอกให้ซ้ำๆๆ พอซ้ำเข้าไป มันฝึกฝนบ่อยครั้งเข้า ความห่างของมันจะใกล้เข้ามาๆๆ จะเร็วขึ้น ละเอียดขึ้น เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น ความคิดเกิดดับเร็วขึ้น ปัญญาเร็วขึ้น ทุกอย่างเร็วขึ้นจนเป็นเนื้อเดียวกัน เห็นไหม ความคิดเกิดจากจิต ปัญญาที่เกิดจากจิตไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากสมอง นี่ภาวนามยปัญญาที่สมดุล พับ! ขาดหมดเลย ขาดหมด กิเลสขาด สะอาดหมดเลย แล้วทำอย่างไร นี่อธิบายเป็นรูปธรรมนะ แต่เวลาทำนะ อย่ายึดอันนี้ ถ้าเราอธิบายวันนี้ปั๊บ แล้วยึดอันนี้นะ ไปทำนะ ตายเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันจะไปสร้างภาพอย่างนี้ขึ้นมา พอมันสร้างภาพ กว่าจะสร้างภาพอย่างนี้ขึ้นมาได้ พอสร้างภาพขึ้นมาได้แล้ว คือมันไม่เป็นจริงไง สร้างภาพ สร้างขึ้นมา สร้างก็เหนื่อยแล้ว แล้วต้องพยายามจะให้มันเป็นอย่างนี้ด้วย มันจะเป็นข้อเท็จจริงของมัน มันจะเป็นอย่างอื่นไปก็ไม่ได้อีก กลัวผิด ก็ต้องหาเป็นอย่างนี้

พูดนี่เป็นธรรม แต่พอเวลาเอาไปคิดปั๊บ เป็นโลกหมดเลย เพราะมันไม่ใช่เป็นของเรา ฉะนั้น เวลาของเรา เราต้องทำตามข้อเท็จจริง ทำประสาเรา ทำตามข้อเท็จจริง มันจะเป็นอย่างไรให้เป็นอย่างนั้น แล้วทำของเราไปตามจริตตามนิสัย

เราพูดถึงอภิธรรม วันนั้นเราพูด เราบอกอภิธรรม อยากกินข้าวสุก แต่ปฏิเสธข้าวสาร ไม่มีข้าวสาร จะมีข้าวสุกไหม ไม่มีสมาธิ จะมีปัญญาไหม แต่ไปตัดที่สมาธิทิ้ง เป็นสมถะ ไม่เอาไง คือยอมรับแต่ข้าวสุก แต่ปฏิเสธข้าวสาร เออ! มันก็แปลกเนาะ แต่ถ้าเป็นตามข้อเท็จจริง ข้าวสารก็ปฏิเสธไม่ได้ ข้าวสารมาจากข้าวเปลือก ข้าวเปลือกมาจากต้นข้าว ต้นข้าวมาจากเมล็ดข้าวที่ปลูกขึ้นมาเป็นข้าว ไม่ใช่ข้าวได้ดินได้น้ำที่ดี ได้อากาศที่ดีมันถึงเป็นเม็ดข้าว

สัจธรรม ปัจจยาการของมัน มันสืบต่อ แล้วเอ็งไปตัดช่วงใดช่วงหนึ่งแล้วเอ็งจะเข้าใจเรื่องอย่างนั้นเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยนะ แต่เขาไม่เข้าใจ แล้วเขาไม่ค้นคว้าตามข้อเท็จจริงของเขา แต่กรรมฐานกับเรา เราให้เกิดตามข้อเท็จจริงเลย พอจิตมันสงบเข้ามาจะใช้ปัญญาอย่างไรให้มันเป็นไป มันถึงปฏิเสธไม่ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิเสธสมาธิไม่ได้ เพียงแต่สมาธิมากสมาธิน้อยอีกเรื่องหนึ่ง เพราะถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ สมาธิไม่ต้องมาก เพราะมันเป็นปัญญาวิมุตติ ปัญญานำ มรรค ๘ ปัญญานำ แต่ถ้าเป็นเจโตวิมุตติ สมาธินำ เจโตวิมุตติ เจโตใช้สมาธินำ ถ้าสมาธินำ เหมือนกับคนถนัดไปทางไหน ตัวใดเป็นตัวหัวเชื้อไง ตัวหัวเชื้อเป็นตัวนำ แล้วส่วนประกอบของมันต้องมรรค ๘ หมด ขาดอะไรไม่ได้ เพียงแต่ว่าจริตนิสัยของใครเด่นทางไหน แล้วการสร้างของคนมาเด่นทางไหน ถ้ามันสร้างมาเด่นทางนั้นนะ ถ้าไปตรงกับจริต ตรงกับนิสัย ตรงกับการกระทำ มันจะได้ผลดีมากเลย แต่ถ้าไม่ตรงกับการกระทำนะ มันก็ถูไถไป ภาวนาได้ไหม ได้ แต่แก้กิเลสได้ไหม ถูไถๆ แล้วมันก็จะไม่สมดุล มรรคสามัคคีไม่สมดุลของมัน

ฉะนั้น การสอนของหลวงปู่มั่น ไปถาม หลวงปู่มั่นมีสอนอะไรตายตัวไหม หลวงปู่มั่นบอกเลย “ผู้เฒ่าจะแก้จิตว่ะ หมู่คณะภาวนามา ผู้เฒ่าจะแก้จิตนะ จิตนี้หาคนแก้ยากนะ”

คนไม่เป็นแก้ไม่ได้หรอก แล้วคนไม่เป็นก็แก้เป็นสูตรสำเร็จไง ไปภาวนากัน สูตรสำเร็จ มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ สูตรสำเร็จคือโลก มันเป็นไปได้แต่ทางธุรกิจ โรงงานอุตสาหกรรมนี่สูตรสำเร็จหมด มึงจะเอารุ่นไหนล่ะ แป๊ะ! กดมาเป็นรุ่นนั้นหมดเลย แต่มนุษย์ไม่ใช่ ยิ่งจิตยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ยิ่งภาวนาไปยิ่งลึกลับซับซ้อนไปเลย แต่ตอนนี้ทางวิชาการน่ะไม่ใช่ ไม่ได้ ทางวิชาการต้องมาเป็นอย่างว่าพุทธพจน์ๆ นั่นล่ะ ต้องเป็น

พุทธพจน์นะ มันยังตีความได้หลายหลากมาก มึงอย่ามาอ้างพุทธพจน์มาบังคับนะ วันนั้นมาจากเพชรบุรี “พุทธพจน์”

เราพูดสวนเลย พุทธพจน์ หมามันก็พูดได้ หมามันก็ท่องพุทธพจน์ได้ ลองสอนมันสิ โอ้โฮ! เบรกหงายท้องไปเลย พุทธพจน์ คำพูดเราสอนนกแก้วนกขุนทองได้ นกขุนทองก็สอนมันพูดได้ นกแก้วก็สอนมันพูดได้ แล้วมันรู้เรื่องไหม แล้วเราไปท่องมัน มันก็เหมือนนกแก้วนกขุนทอง แต่วันนั้นบอกเลย หมามันก็พูดได้ พุทธพจน์ พุทธพจน์มันพุทธพจน์ แต่เรารู้อะไร เราทำแล้วได้ประโยชน์อะไร ถ้ามันทำให้มันรู้จริงขึ้นมาสิ

นี่ไง เวลาเราย้อนกลับ เราย้อนกลับไปหลวงปู่มั่น อย่าว่าแต่พุทธพจน์เลย แม้แต่ตัวอักษร ก.ไก่ ก.กา ท่านยังยกไว้เหนือหัวเลย ท่านบอกว่ามันสื่อความหมายของพระพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่ไปเขียนเป็นคำพูด เป็นพุทธพจน์ เป็นความหมายของพระพุทธเจ้าแล้วถึงเคารพนะ ตัวอักษรทุกตัวท่านยังเคารพเลย เพราะมันสื่อธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ ไอ้พุทธพจน์มันแค่สื่อความหมายออกมา สื่อๆ เป็นตัวสื่อ ไม่ใช่ความจริง แล้วเราไปเอาสื่อมาเป็นความจริงไง ไปศึกษาสื่อกันไง แล้วข้อมูลในสื่อนั้นล่ะ

มันถึงว่าอยู่ที่คนคิด อยู่ที่ครูบาอาจารย์ที่ผ่านนะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ผ่านมาแล้ว ทำแล้ว เรื่องอย่างนี้สบายมาก แล้วยิ่งพูดธรรมะด้วยนะ ไปได้ไกลเลย ขอให้เป็นธรรมะนะ ทีนี้เพียงแต่พวกเรา โทษนะ ไปศึกษาโดยโลกไง ไปศึกษาโดยตัวตนของเราไง แล้วก็คิดว่าเป็นอันนี้ ธรรมะเป็นอย่างนี้ไง ไม่ใช่หรอก ไปศึกษาที่เรา ศึกษาก่อน หลวงปู่มั่นพูดชัดเจน แล้วคนเป็นพูดไม่มีผิดเลย เวลาหลวงตาไปหาท่าน มหา ธรรมะพระพุทธเจ้าสูงส่งนะ ไม่ใช่ดูถูกนะ เราเคารพบูชาธรรมะพระพุทธเจ้า ให้เอาธรรมะที่ศึกษาเป็นมหา เอาเข้าลิ้นชักก่อน แล้วล็อกกุญแจมันไว้ ภาษาอีสานพูดง่ายๆ คำอีสานนี่เรียบง่าย แล้วเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงข้อเท็จจริงมาก ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะมาเตะมาถีบกันเอง

คือในภาคปฏิบัติ ในการกระทำมันเป็นข้อเท็จจริง กับธรรมของพระพุทธเจ้า เหมือนสิ่งที่มันสูงแล้วไง แต่เราทำนี่ยังต่ำอยู่ใช่ไหม มันจะขัดแย้งกันไง คือเราพยายามจะสร้างให้เป็นอย่างนั้น ให้คะแนนตัวเองไง ทำได้แค่ ๒-๓ คะแนน จะเอาร้อยคะแนนพันคะแนน มันก็จะมาเตะมาถีบกัน มันถึงขัดแย้งกันไง แล้วเราก็จะวิตกวิจารณ์ เราเองทำได้นิดๆ หน่อยๆ แต่เราศึกษาธรรมพระพุทธเจ้ามา คะแนนก็เป็นหมื่นเป็นพัน มันก็พยายามจะให้เหมือนกัน พยายามจะสร้างภาพ มันจะมีการขัดแย้งกัน

แต่คำพูดเขา เราฟังแล้วมันจะมาเตะมาถีบกัน ความจริงกับทฤษฎีมันจะขัดแย้งกัน เพราะความจริงเรายังน้อยอยู่ แต่ถ้าความจริงของเราขึ้นมาถึงกับข้อเท็จจริงกับทฤษฎีเหมือนกันนะ เข้ากันได้พอดี ถึงที่สุดแล้วก็คือถูกหมด ถึงที่สุดแล้วคือธรรมะพระพุทธเจ้าถูกหมด แต่เริ่มต้นผิดที่เรา ผิดหมด ฉะนั้น เวลาศึกษามาแล้วต้องวางไว้แล้วทำตามความเป็นจริง

ทีนี้เวลามา “โอ๋ย! ทำไมเป็นอย่างนั้นๆ” ยิ่งมาจากปัญญาชน แต่มันดีอย่างหนึ่งนะ เราว่าซีดี เขาฟังก่อนไง เขาต้องฟังก่อน แล้วเขามีอะไรเขามาถาม ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่อย่างนั้นเราต้องปูพื้นตั้งแต่ทีแรกเลย ไอ้ซีดีมันสอนก่อนไง ซีดีไปคุยให้เขาฟังก่อน สอนเขาก่อนพักหนึ่ง แล้วเขาก็ต้องเลือก เขาต้องหาข้อถูกข้อผิดแล้วเขามาคุยกับเรา เหมือนกับผ่อนแรงเราไปครึ่งหนึ่งนะมึง ไอ้ซีดีที่แจกๆ ไป ผ่อนแรงไปได้เยอะเลย ไม่อย่างนั้นมาก็มาดิบๆ เลยล่ะ ต้องมาเริ่ม ก.ไก่ ก.กา กันเลย ต้องมาใส่กัน ไอ้นี่เขาฟังแล้ว เขาคัดเลือกแล้ว เขาติดข้องแล้วนะ เขาค่อยมาหาเรา พอมาหาเราแล้วทีนี้ก็มาถามปัญหา มันก็ดีขึ้น ไม่ต้องเหนื่อยแรงนัก

เรามาย้อนนะ มันเป็นบุญเป็นกรรมเนาะ เริ่มต้นมาเลยนะ เป็นเทปก่อน สิ่งที่เป็นเทป เพราะหลวงตาท่านพูดเอง ท่านมาที่โพธาราม “หงบเอ้ย เทปกับหนังสือสำคัญมากนะ” ท่านบอกสมัยท่าน ท่านพิมพ์เองนะ ท่านเห็นประโยชน์ของมัน ท่านพิมพ์เอง พิมพ์แล้วท่านก็เผยแผ่ไปไง แล้วสุดท้าย ท่านไม่ได้เอ่ยชื่อ ท่านบอกต่อไปก็มีคนมารับผิดชอบ ก็คงเป็น ดร.เชาวน์ กับพวกนงเยาว์มารับผิดชอบใช่ไหม ท่านก็ปล่อยเลย บอก “ไอ้นี่มีความสำคัญนะ”

แล้วเราก็เอาเทปมาแจกกัน อัดทีละม้วนต่อม้วน ม้วนต่อม้วน เมื่อก่อนกดอยู่ทั้งวันๆ ม้วนต่อม้วนอยู่พักหนึ่ง แล้วมันไม่มีใคร แล้วตอนหลังก็มา ไอ้อ้นรับผิดชอบไป อ้นรับผิดชอบ มันก็ต้องรอข้อมูล ต้องอะไร ไม่เป็น

เดี๋ยวนี้อยู่ในห้อง พูดจบเดี๋ยวนี้จะเอาได้แล้ว ที่พูดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าจะเอานะ เดี๋ยวไรท์ออกมาเลย แต่เดิมอย่างนี้ต้องรอเป็นเดือนกว่าจะส่งไปหาไอ้อ้นที่นนท์ฯ โน่นนะ กว่าไอ้อ้นมันจะทำเสร็จนะ แล้วไอ้อ้นมันจะเอามาส่งนะ เป็นเดือนนะ ก็เลยไม่ค่อยได้ทำกันน่ะ มันมาเรื่อยๆ มันถึงเวลาของมัน แล้วมันเป็นไปได้

ก็วันนั้นพวกหมอมา ไอ้ที่ว่ามาจากวชิระฯ เวลามานะ แล้วทางมหาวิทยาลัยเขามีนโยบายให้เอานักศึกษาแพทย์มาวัด ทีนี้พอนักศึกษาแพทย์จะมาวัด มันไม่ยอมมากัน เพราะมันไปวัด ไปนั่งหลับใช่ไหม เขาต้องจับฉลากกัน โทษนะ ใครซวยต้องมาวัดไง จับฉลาก ใครซวยต้องมาวัด แล้วก็จับฉลากกันมาที่นี่ มา ๔๐-๕๐ คน มาถามปัญหา เท่านั้นน่ะ พูดจบนะ อาจารย์ที่พามาก็โดนบังคับมาเหมือนกัน แต่พอพูดจบแล้วนะ ที่เห็นไรท์กัน เขาบอกว่า วันนั้นเขามาเขาบอกเขาจะขอเลย ไอ้หมอผู้หญิงก็อยากเอาไปให้สามีฟัง ไอ้หมอผู้ชายมันก็อยากเอาไปให้ภรรยาฟัง มันขอเลยนะ ไอ้เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะตอนนั้นไม่เป็นนะ

พอไอ้คิมมันอยู่ในห้อง ไอ้คิมมันเดินออกมา

“เฮ้ย! เขาขอจะได้ไหม”

มันบอก “ได้ครับ”

ไรท์เดี๋ยวนั้นเลยนะ ไรท์เดี๋ยวนั้นเลยนะ ให้พวกนี้ไปเลย พอไปแล้ว พอเขาเอากลับไป ตอนที่เขามานะ พอเอาซีดีกลับไปแล้วไม่กี่วัน นักศึกษาแพทย์ต่างคนต่างดิ้นรนกันมา ดิ้นรนมาที่นี่เลย แล้วเขามาเล่าให้ฟังนะ เล่าให้ฟังว่าใครซวยถึงต้องจับฉลากมา เขาบอกว่าเขาโชคดี เขาจับฉลากไม่ได้มา เขาก็นึกว่าเขาโชคดี แต่เขาไปฟังซีดีแล้วเขาต้องขวนขวายมา เขาขวนขวายมาเอง ไอ้ที่ว่าโชคดีโชคไม่ดี ไอ้คนนี้มาเล่าให้ฟัง ไอ้นักศึกษาแพทย์ที่มาทีหลังมันบอกว่าวันนั้นผมล้วงเบอร์ไม่ได้ มันนึกว่ามันดีใจ มันล้วงเบอร์ไม่ต้องมาไง ไอ้คนที่ล้วงเบอร์เสร็จแล้วจำเป็นต้องมาไง อันนี้พอซีดีมันกลับไป พอฟังเสร็จแล้ว ไอ้ที่ว่าล้วงไม่ได้มา มันต้องมาเอง มันมาเองเลย มันมาขอซีดีแล้วมาคุยธรรมะ ถึงได้รู้ว่าล้วงเบอร์กันแล้วมันล้วงไม่ได้ ตอนล้วงไม่ได้มันก็ดีใจใช่ไหมว่ามันไม่ต้องมา

เพราะโลกเนาะ เขาถือว่าเขามีการศึกษา เพราะนักศึกษาแพทย์ แล้วทางมหาวิทยาลัยเขามีโครงการตรงนี้ไง เหมือนตำรวจเวลาใกล้จบ ให้ไปอยู่กับคนจน ไปอยู่กับชาวนา ให้เห็นชีวิตความเป็นจริง แล้วเราไปปกครองเขา นี่ก็เหมือนกัน เขาต้องการให้หมอมีศีลธรรมจริยธรรม เขาก็มานี่ เขาพูดอย่างนี้ให้ฟัง แล้วเด็ก โอ้โฮ! มันถามนะ มันถามปัญหาเด็กๆ ปัญหาพวกหมอ ฉีดยาเป็นบาปไหม

โอ้โฮ! กูงงเลยเว้ย ทำให้เขาเจ็บไง ความคิดนะ ผ่าตัดนี้เป็นบาปไหม

กูบอก เฮ้ย! มันเป็นบุญสิ มันเป็นบุญ เรารักษาเขา แต่มันเจ็บไหม ต้องเจ็บ นี่เวลาพูด เวลาสะเทือนใจ สะเทือนใจไหม ผ่าตัดเป็นบาปไหม มันคิดแบบวิทยาศาสตร์เนาะ เราไปทำให้เขามีบาดแผล เราไปทำให้เขาเจ็บปวด มันจะเป็นบาปไหม แต่มันไม่คิดถึงมุมกลับนะ ประสาเราคนกลาง เราคิดมุมกลับ คิดถึงคนป่วยสิ คนป่วยอยากหาย คนป่วยทุกข์ใจมาก ใครไปโรงพยาบาล ทุกคนจะทุกข์ใจเลยว่าเราจะหายเมื่อไหร่ เราอยากหายมาก ทีนี้พอคนป่วยอยากหาย ใครไปทำให้เขาหาย มันจะไปเอาความวิตกกังวลเขานะ ป่วยกาย ป่วยใจไง แต่เราไปเอาความคิดทางวิทยาศาสตร์ เฉพาะเนื้อ คือโรคภัยไข้เจ็บของร่างกาย แต่เขาไม่ได้คิดถึงความวิตกกังวลของใจเนาะ โธ่! คนป่วยเนาะ ยิ่งคนมีภาระรับผิดชอบมาก เวลาป่วยอยากหายมากเลย เพราะกลัว ภาระเรามี

บอกว่าเป็นบุญ อ้าว! เป็นบุญอย่างไร อ้าว! เป็นบุญ ก็เขาหายป่วย แต่มันไปคิดแต่เฉพาะตรงนั้น ถามเยอะมาก วันนั้นถามเยอะมาก ถามจนมืดเลย

ถ้าไม่หาย เราบอกกรรมของโลกนะ โลก ในทางวิทยาศาสตร์ ถ้าโรคนี้รักษาไม่หายใช่ไหม ไม่หายก็คือไม่หาย โรครักษาไม่หายใช่ไหม ถ้าโรคพื้นฐาน ถ้าหมอรักษาไม่ดี เขาฟ้องนะ ถ้าโรคพื้นฐาน โรคปกติ แล้วหมอไปทำให้เขาตายให้เขาอะไร เขาฟ้องศาลเลยเดี๋ยวนี้ หาว่าหมอรักษาไม่ถูกต้อง หมอเลินเล่อ แต่ถ้าเป็นโรคร้าย โรคมะเร็งโรคอะไร เวลารักษาไม่หายก็ไม่เป็นโทษ แต่ทีนี้สิ่งใดที่ทางการแพทย์ยังรักษาหายไม่ได้ หรือถ้าหายได้เป็นบางคราว ถ้าถึงที่สุดแล้วเขาตายไป ไม่มีโทษ นี่จะบอกว่าถ้าไม่หายไง

พูดถึงถ้าหายนะ มันก็ย้อนกลับมาที่นี่ ย้อนกลับพวกพระหมอ บอกมาหาเรารักษาให้หายหมด...เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อตรงนี้ไง ตรงกรรมของคนมันมีไง ถ้าอย่างนั้นปั๊บ ประสาเรา ธรรมะมันเป็นนามธรรม แล้วรูปธรรมมันเป็นส่วนที่แสดงออกเท่านั้น ส่วนที่เห็นไง แต่ส่วนจริงมันส่วนที่นามธรรม เพราะส่วนที่ความรู้สึก ความคิด ฉะนั้น เวลาเราบอกว่าเรารักษาได้หมดเลย รักษา ใครมาต้องหายหมดเลย มันก็ไปลบล้างกรรมสิ ลบล้างการกระทำของเขาสิ ลบล้างสิ่งที่เขาทำมาสิ สิ่งที่เขาทำมา คนทำมานะ ดูสิ โทษนะ ตายในท้องก็มี อายุยังน้อยตายก็มี อายุมากตายก็มี กรรมของสัตว์ที่เขาทำมาล่ะ นี่ยังดีนะ นี่หมอแผนปัจจุบันนะ

เพราะเรามีลูกศิษย์ที่เป็นหมอแผนโบราณ เขาบอกถึงเวลาแล้วเขาต้องทำบุญ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันเป็นบุญเป็นกรรม เราไปรักษาให้เขาหาย กรรมมาถึงที่ตัว กรรมมาถึงที่เรานะ เขาทำบุญกุศลเหมือนกันนะ มีครู เขามีครูของเขา ถึงเวลาแล้วเขาทำบุญของเขา เพราะอะไร เราไปผ่อน เราไปทำ กรรมน่ะ

ทีนี้สิ่งที่ถ้ามันไม่หายไง ถ้าโรคร้ายมันไม่หาย เพราะอายุขัยของคน กรรมมันตัดรอน อันนี้พอกรรมตัดรอนขึ้นมา ทำไมพระอรหันต์อยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ ตัดรอนก็ได้ เสริมก็ได้ไง เสริมก็ได้ อายุเสริมได้ต่อได้ ทีนี้พอเสริมได้ต่อได้ ประสาเรานะ มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ เป็นเรื่องของผลบุญผลกรรมที่ว่ามันเป็นของเล็กน้อยมาก เพียงแต่ว่าถ้าเรามาจบกันที่นี่แล้วจบมากกว่า ถ้ามาจบที่นี่แล้วไม่มีเกิดไม่มีตาย อยู่คงที่เลย มันยิ่งดีกว่าอายุมากอายุน้อยอีก

ฉะนั้นถึงว่าสิ่งที่มันไม่หายมันเป็นไปตามกรรม ทีนี้เป็นไปตามกรรม อย่างประสาเราเป็นหมอ ถ้าเป็นกรรม คนที่จะไม่หายต้องตาย แต่เราก็ต้องทำของเราให้สมบูรณ์ไง เขาจะได้ฟ้องเราไม่ได้ เราทำของเราให้สมบูรณ์เลยล่ะ ถ้าเราทำของเราสมบูรณ์แล้ว ถ้ามันเป็นอะไรไปล่ะ ตอนนี้วงการแพทย์มันมีเรื่องกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก มันเป็นไป ไม่ต้องไปหาหมอหรอก นอนอยู่บ้านหัวใจวายตายเลย ไอ้คนที่นอนหลับตายๆ คือหัวใจวายตาย ไม่เป็นโรคเป็นภัยเลยนะ ถึงเวลา ไปเลย เยอะแยะ แล้วดีด้วย ไม่ต้องทุกข์ร้อน

กรรมคนมันมี ทุกๆ อย่าง อย่างเช่นพวกคุณไสย ถ้าทำคุณไสยไปเยอะๆ ทำๆ ไป ส่วนใหญ่แล้วพวกเล่นคุณไสยจะเป็นผีปอบทีหลังถ้าเขาไม่ได้แก้ของเขานะ แต่ถ้าเกิดคนที่ฉลาด คนที่มีหลักการ เขาจะแก้ของเขาเรื่อยๆ คำว่า “แก้” นะ ถึงเวลาปั๊บ เขาทำอะไรปั๊บ เขาจะแก้ออก เรียนผูกเรียนแก้ไง แต่ถ้าเราเป็นหมอคุณไสยแล้วเราเรียนแต่ผูก คือเราทำแต่อาชีพเราไง ทำแต่อาชีพเรา เดี๋ยวมันเข้าตัว มันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยวิชาชีพเราจะอ่อนลง สังเกตได้ไหม พวกไปหาหมอดูเรื่อยๆ ไปดูแรกๆ แม่นเลย ไปครั้ง ๒ ครั้ง ๓ สิ เอ๊! ชักไม่แม่นแฮะ ไอ้นี่มันไม่แน่นอนหรอก ฉะนั้น เรื่องพวกหมอดู พวกคุณไสย พวกอะไรนะ เราไม่เชื่อเลย แต่เรายอมรับว่ามี แต่เราไม่เชื่อ เราเชื่อตัวเราเองมากกว่า เชื่อความรู้สึกร้อนเย็นอ่อนแข็ง เชื่อเรา เราไม่เชื่อใครเลย เราไม่เชื่ออะไรเลยนะ ไม่เชื่ออะไรเลย เชื่อธรรม แต่ทางโลกเขาไปเชื่อข้างนอก

โธ่! ถ้าใครเขาแน่จริง ดูอย่างหลวงปู่มั่นสิ หลวงปู่มั่นไปอยู่ที่ถ้ำสาริกา แล้วรุกขเทวดาที่ปลอมตัวเป็นยักษ์จะมาตีหลวงปู่มั่นน่ะ หลวงปู่มั่นเทศน์เลย เขาบอกเขามีอำนาจมาก บอกว่านี่เขาเป็นผู้รักษาหมด

มีอำนาจมาก มีอำนาจเหนือความตายไหม ต้องตายไหม นี่เวลาพูดถึงหลักความจริง คอตกเลยนะ ใครจะมีอำนาจมากขนาดไหนน้อยขนาดไหนก็เกิดตายทั้งนั้นน่ะ ไม่มีใครรอดหรอก แต่เราไปคิดว่าอำนาจเรามากเอง เราไม่คิดถึงสัจธรรมว่าเราจะต้องตายไปไง พอพูดแค่นี้ปั๊บนะ อ่อนเลย แล้วพลิกกลับมาเป็นลูกศิษย์มาฟังเทศน์เลย

ไอ้สิ่งที่เราทำกันอยู่นี่ก็เหมือนกัน คนนี้จะรู้ไอ้เรื่องต่างๆ มึงตายหมด ใหญ่ขนาดไหน ตายหมด มีความรู้ขนาดไหนก็ตายหมด ไปไม่รอดหรอก แต่ถ้ากลับมาวิทยาศาสตร์นี่จบ แล้วถ้าจบแล้วไปกลัวอะไร

พระนะ บางทีพระเรารับไม่ได้เลย พระบางทีเมื่อก่อนนะ พวกนั้นมา อย่าไปเอ่ยชื่อเขาเลย ตั้งหลายองค์ พูดอย่างนี้หมดนะ ใครมาอยู่กับเรา ๗ วันเป็นพระโสดาบัน มีพวกอาจารย์สอนๆ มาอยู่กับเรา ปฏิบัติกับเรา ๗ วันเป็นพระโสดาบัน โอ้โฮ! เขาฟังแล้วเขามีคนเชื่อ มีลูกศิษย์ไปหาเขาเยอะนะ แต่คนไม่เชื่อก็มี แต่คนเชื่อก็มี

แต่ถ้าเป็นเรานะ มันเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้านะ ท่านจะไปสอนใครท่านต้องเล็งญาณนะ มันต้องมีบารมีของเขานะ แล้วต้องเล็งญาณ ต้องดูว่าพร้อมไหม พระพุทธเจ้าจะไปเอายังยากขนาดนั้น แล้วนี่สาวกนะ มาอยู่กับเรา ๗ วัน มันจะรู้

แล้วสมมุติเรานะ เราเป็นคนที่ไม่มีบารมีเลย เราเป็นคนหยาบช้า เราทำความไม่ดีไว้เยอะมากเลย แล้วเราไปหาเขา ๗ วันเราจะสำเร็จได้ไหม มันขัดแย้งข้อเท็จจริงใช่ไหม อย่างเช่นเราเป็นคนหยาบช้า จิตใจเราเศร้าหมองมากเลย แต่เรามีความฝักใฝ่อยากจะภาวนา แล้วไปหาเขา ๗ วันเป็นพระโสดาบันจริงหรือ คือตามข้อเท็จจริงมันเป็นไปไม่ได้ แต่เวลาเขาพูดกันอย่างนั้นน่ะ “ไปอยู่กับเรา ๗ วันเป็นโสดาบันๆ” เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้อย่างนั้นนะ เราบอกเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ถ้าคิดอย่างนี้ เราคิดอย่างนี้เลย ที่พระพูดอย่างนั้นเราไม่เชื่อ มันเป็นไปไม่ได้

โธ่! หลวงปู่มั่นนะ ท่านสร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์นะ ท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านะ เวลาท่านแก้แต่ละคน เพราะหลวงตาท่านเล่า ไม่ใช่ว่าหลวงปู่มั่นจะเอาพระได้หมดนะ หลวงตาท่านเล่าเองนะ ถ้าองค์ไหนภาวนาเป็น องค์ไหนภาวนาดี จี้เลย จี้ หมายถึงว่า โค้ชกับนักกีฬาตัวต่อตัวเลย “เป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร เดี๋ยวขึ้นมาอาทิตย์นี้ เป็นอย่างไร พัฒนาไหม” จี้ตลอดนะ

แต่ถ้าองค์ไหนภาวนาไม่เป็น ท่านก็อยู่ด้วย แต่ท่านไม่จี้นะ จี้ไปนะ สมมุติถ้าเราจี้ไปนะ ตายเลย อย่างเช่นเราทำไม่เป็น แล้วท่านจะให้ทำ โอ้โฮ! เราเครียดตายเลย แต่ก็ให้อยู่ด้วย สร้างบารมีไป คนเป็นเขาเป็นอย่างนั้น

บางคนมันสุดวิสัยที่จะภาวนานะ แต่ไม่ใช่เอ็งนะ เอ็งต้องภาวนา พูดอย่างนี้ปั๊บ เดี๋ยวมันจะเอาไปเป็นทางออก มันจะเอาไปอ้าง ถ้ามันสุดวิสัย มันก็ให้ทำก่อน ให้มันสุดวิสัย แต่ถ้าเราต้องขวนขวายของเรา เราต้องทำของเรา เราต้องพยายามของเรา ถ้าทำของเราขึ้นมาแล้วมันจะแก้ไขกันไป

โธ่! ท่านยังเห็นอย่างนั้นเลยนะ บางทีมันสุดวิสัย มันไม่ได้ก็คือมันไม่ได้ เรื่องอย่างนี้เราเป็นพระ เราบวชแล้ว เราอยู่ในศีลในธรรม ถ้ามันทำได้แล้วดีก็โอเค ถ้ามันทำไม่ได้ สุดวิสัย เราก็ต้องอยู่ในพระ ให้อยู่ในศีลธรรม อย่าให้มันออกนอก แล้วเราสร้างบารมีไป

เราเจออาจารย์นะ บอกว่าเป็นอาจารย์เลยล่ะ เพราะท่านพรรษามากกว่าเรา เราไปอยู่กับท่านหลายๆ องค์ พูดกับเราเลย “หงบเอ้ย เราภาวนาไม่เป็นหรอก แต่ก็จะพยายามจะทนอยู่นี่เพื่อให้ภพชาติมันสั้นเข้า”

โอ๋ย! เราเคารพมากนะ เราเคารพมาก คือท่านพูดความจริง พูดกับเราเลยนะ “หงบเอ้ย ภาวนาไม่เป็นหรอก แต่พยายามอยู่ในกรอบเพื่อให้ภพชาติมันสั้นเข้า” คือเราก็สร้างบารมีอีกชาติหนึ่ง เราก็สร้างบารมีอีกชาติหนึ่ง แต่ถ้าเราไม่อยู่ในกรอบ เราไม่สร้างบารมีนะ เราทำแต่สิ่งไม่ดี แล้วมันจะมีบารมีไหม เออ! พูดอย่างนี้เราเคารพ ลูกผู้ชาย แล้วเราก็ไม่ได้ถือสาอะไร เราก็เคารพนะ เราเคารพ แล้วเรารักด้วย

แต่ถ้าไม่มีแล้วไปหลอก โอ้โฮ! เกลียดมากเลย เพราะอะไรรู้ไหม หนึ่ง มันทุจริตไง เรารู้ๆ อยู่ เรากล้าพูดนะ รู้ๆ ทุกคน คนภาวนาเป็นไม่เป็น รู้ โธ่! ถ้าเรานั่งอยู่แล้วเราสงสัย ใครจะหลอกเราได้ล่ะ ของที่เราไม่เข้าใจแล้วเราไม่รู้ แล้วทำไมอวดเขาว่ารู้ มันจะรู้ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่มันมีทฤษฎีอยู่ไง เพราะอะไร ใครมานะ “ก็พิจารณากายสิ พิจารณากายสิ” พระมาหาเราเยอะมาก บางทีมันเศร้าไง มาหาเรา “หลวงพ่อ เป็นอย่างนั้นๆ”

“แล้วว่าไงล่ะ”

“อาจารย์บอกให้พิจารณากาย”

ทีนี้คำว่า “อาจารย์ให้พิจารณากาย” เขาสอนมาแล้ว กึ่งๆ ไง ถูกด้วยผิดด้วย ถูกคือธรรมพระพุทธเจ้า ผิดคือเขาให้ทำโดยมั่วสุม โดยที่เขาทำกันไปเอง แล้วเราจะอธิบาย โอ้โฮ! ยาก

มีหลายองค์มาหานะ “ก็อาจารย์ให้พิจารณากาย ผมพิจารณากายแล้ว ตั้งกายอย่างนั้น ทำกายอย่างนั้น”

อื้อหืม! ถ้าประสาเรานะ มันต้องกลับมาที่ความสงบก่อน แล้วถ้าเห็นไม่เห็น เห็นตามข้อเท็จจริง ถ้าเห็นตามข้อเท็จจริงนะ อารมณ์ความรู้สึกมันจะต่างกัน คนเห็นโดยตามข้อเท็จจริง หัวใจมันจะสั่นไหว หัวใจมันจะพอง มันจะเกิดการรู้สึกที่รุนแรงมาก แต่ถ้ามันเห็นโดยสัญญานะ เห็นก็เห็น ผลที่ได้ต่างกันเยอะเลย แต่คนไม่เคยมันจะจับประเด็นนี้ไม่ถูก เห็น พิจารณากายก็พิจารณากายเหมือนกัน ก็พิจารณากายไง ทฤษฎี กายก็คือกาย ก็พิจารณาแล้วไง ก็ทำแล้วไง แต่ผลที่เป็นเขาไม่รู้ ความต่างตรงนี้ไม่รู้หรอก

ทีนี้พอสอนไป ไอ้พอพูดไป “ก็ผมทำแล้ว หลวงพ่อสอนเหมือนที่ผมทำเปี๊ยะเลย”

ปวดหัวเลย ปวดหัวฉิบหาย มันมาอย่างนี้เยอะ “เขาก็สอนพิจารณากาย ผมก็พิจารณากายแล้วไง หลวงพ่อสอนก็เหมือนกันไง ผมก็ทำแล้วไง แล้วทำไมหลวงพ่อไม่ยอมรับผมล่ะ” โอ้โฮ! มันเจอแต่อย่างนี้ เพราะอะไรล่ะ เพราะไม่มีสมาธิไง เพราะพื้นฐานปัญญาไม่ใช่มาจากใจไง ปัญญามาจากสมองไง พระพุทธเจ้าสอนแล้ว พิจารณากายไง เห็นไง ทุกอย่างเห็นหมดไง แต่ถ้าปัญญามันเกิดจากใจนะ โอ้โฮ! แค่สงบมันก็มีความสุขแล้ว แล้วมันเห็นน่ะ โอ้โฮ! มันไหวหมดเลย พอไหวหมดเลย แล้วพอพิจารณาไปมันจะบั่นทอนไปเรื่อยๆ บั่นทอนไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุด หมดเลย ขั้นใดก็ขั้นนั้น

ถ้ามันได้อย่างนี้มันก็ดีน่ะสิ ถ้าได้อย่างที่โยมพูดมันดี แต่นี่มันเป็นตรงนี้ไง ที่มันยากมันเป็นตรงนี้ ตรงที่ว่ามันเป็นบางคน บางคนแค่มีบารมีทำสมาธิยังไม่มี ทำได้มากได้น้อยไง เหมือนเรา เรานั่งกันอยู่นี่นะ เราจะทำธุรกิจกัน ต้นทุนเราไม่เท่ากันใช่ไหม สมมุติอย่างเรา เรามีเงินเยอะกว่าเพื่อนเลย เรามีทุนมาก เราจะซื้ออะไรได้เต็มตามใจเราเลย แค่โยมมีทุนน้อยกว่าเราครึ่งหนึ่ง บางคนมีทุนแค่ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ การเข้าสมาธิออกสมาธิมันยากกันตรงนี้ มันต่างกันตรงนี้ไง

เพราะสมาธิ ใครมาพูดก็แล้วแต่ เรื่องความว่างนะ เราบอกอจินไตย คือว่ามันกว้างขวางจนขอบเขตใครวัดไม่ได้ อย่างเราลองมีเงินมาก เรามีเงิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เราทำได้ง่าย เราทำแล้วเราชัดเจนของเรา ไอ้คนที่มี ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ทำแล้วก็น้อยกว่าเราครึ่งหนึ่งแล้ว ไอ้คนมี ๒๕ เปอร์เซ็นต์ก็ยิ่งต่างไปใช่ไหม แล้วของใครถูกล่ะ มันก็ไม่ถูกแล้ว

อันนี้ ตรงนี้ ตรงที่บอกว่าต้องทำสมาธิให้แน่นๆ ดีไหม ดี แต่ถ้าต้นทุนมันไม่มี ทำไม่ไหว ทำไม่ไหว เข้าได้ไม่ถึง เสียเวลา ฉะนั้น ถ้าต้นทุนเราน้อย เราก็ประกอบธุรกิจหรือทำสิ่งที่ต้นทุนเราพอ ตรงนี้เป็นอุบายให้ทุกคนภาวนาได้เป็นไง คือว่าต้นทุนมากต้นทุนน้อย เราก็ทำธุรกิจต่างคนต่างได้กำไรขาดทุน มีกำไรขึ้นมา กับต้นทุนน้อย ก็จะรอให้ต้นทุนเท่ากันแล้วค่อยมาทำ ที่เราไม่รับตรงนี้ไง คือว่าเราอยากให้ทุกคนได้ผลผลิต ได้การกระทำ ได้ความดี ฉะนั้น เราถึงบอกว่าอย่างนี้ก็ทำได้ๆๆ แล้วเราแก้ของเราเอง

แต่ถ้าพูดโดยหลัก โยมถามว่าตั้งสมาธิดีๆ ลึกๆ ดีไหม

ดีๆๆ ดีมากๆ เลย แต่ถ้าทำไม่ได้ล่ะ ถ้าพูดถึงทำสมาธิไม่ได้หรือทำไม่ได้ขนาดนั้น เราเสียโอกาสไปเลย แต่ถ้าเราทำสมาธิ เราได้สัก ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วเราพิจารณาไปได้บ้างอะไรได้บ้าง มันก็จะกลับมาทำให้สมาธิดีขึ้นเรื่อยๆ จาก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เราทำปั๊บ ใช้ปัญญาบ้างอะไรบ้าง สมาธิจะเป็น ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ใช้ปัญญาบ้าง สมาธิเป็น ๘๐ เปอร์เซ็นต์ คือมันหนุนกันได้นะ มันหนุนกันได้ มันส่งกันได้ เพียงแต่เรารู้จักส่งไหม

พระหรือผู้ปฏิบัติมันจะพลาดตรงนี้ พลาดตรงที่แบบว่า หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ในอายตนะ เป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา ที่มันพลาดตรงนี้ไง คำว่า “เป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา” เวลามันเป็นสมถะ คนไม่เข้าใจว่าเป็นสมถะไง คนจะไปเคลมว่าที่เป็นสมถะนี่เป็นวิปัสสนา ทุกคนคิดว่าใช้ปัญญาแล้ว แล้วพอมันสงบปั๊บ ก็คิดว่าธรรม พอคิดว่าธรรม ก็คิดว่าสัจธรรมไง คิดว่าเป็นมรรคเป็นผลไง แล้วพอมันเสื่อม เพราะเป็นสมถะ พอมันเสื่อมมันก็เลยกลายเป็นการท้อใจ พอมันเสื่อมแล้วมันไม่มีกำลังใจ มันเลยไหลไปเลย หลุดไปเลย ตรงนี้

แต่ถ้าเรามีหลักนะ เราคิดว่าตรงนี้มันเป็นสมถะหรือเป็นวิปัสสนาก็แล้วแต่ เราจะไม่ทิ้งหลัก เราจะทำของเราไปเรื่อยๆ เราจะขยันหมั่นเพียร มันจะเป็นอย่างไรให้มันเป็นไป เพราะในข้อเท็จจริงมันเป็นอยู่แล้ว เป็นทั้งสมถะ เป็นทั้งวิปัสสนา มันเป็นได้ทั้ง ๒ อย่างนะ แต่ทีนี้เป็นวิปัสสนามันก็เป็นโลกียะไง มันเป็นโลกียะ เป็นจินตมยปัญญา เป็นสุตมยปัญญา มันยังไม่เป็นภาวนา ไอ้ตรงนี้มันจะเป็นฐานหนุนขึ้นมาให้มันมีความชำนาญ พอจิตมันพัฒนาขึ้น แล้วพอจิตมันพัฒนาขึ้นมานะ คนที่มาปฏิบัติ โทษนะ มันจะไม่ไปยุ่งกับใครหรอก มันจะนั่งสมาธิมันจะภาวนาของมัน แล้วไม่อยากให้ใครเข้ามากวน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันต้องถนอมต้องรักษา ถ้าใครภาวนาเป็นนะ ทุกคนภาวนาเป็นหมดนะ จะไม่ยุ่งเลย

ทีนี้ ตรงนี้ ถ้าเรายึดหลักตรงนี้ได้แล้วเราทำของเราไป ขออย่างเดียว อย่าทิ้ง ทำสืบต่อ ทำไปเรื่อยๆ แล้วถ้ามันมีปัญหาขึ้นมา ครูบาอาจารย์สำคัญ เพราะอะไรรู้ไหม พอเราทำไปแล้วมันสงสัยไง อืม! จะไปทางไหนล่ะ จะไปทางไหน จะเริ่ม จะดันไป หรือจะอยู่กับที่ หรือจะถอย ถ้าพูดถึงตัวเองหาเองอยู่ ทดสอบอยู่ จิตก็ถอยหมด แต่ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์จะชี้นำเลย ต้องเป็นอย่างนั้นๆ ถ้าไปปรึกษาครูบาอาจารย์มันจะได้ตรงนี้ไง

๑. ไม่ต้องเสียเวลา

๒. กำลังของจิตไม่ต้องให้มันวูบลงไปก่อนแล้วไปสร้างใหม่

เวลาเราทดสอบอยู่ ลองอยู่ มันจะวูบ มันจะลงมาก แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ มันดีอยู่แล้วใช่ไหม กระตุ้น มันก็ต่อไปเลย ฉะนั้น เวลามาหาเรา เราจะถามเลย ยังเป็นอยู่ไหม ถ้าใครภาวนา สมาธิยังเป็นอยู่ไหม

“มันเป็นเมื่อปีที่แล้วครับ”

คือมันวูบไปแล้ว แล้วค่อยมาถามไง แล้วกว่ามึงจะสร้างขึ้นมานะ ถ้าเป็นตรงนั้นเดี๋ยวนั้น ใส่เดี๋ยวนั้นเลย พอใส่เดี๋ยวนั้น ทำเดี๋ยวนี้เลยๆ ผิดถูกกูแก้เอง ถ้ามันมีอยู่นะ มีอยู่ ทำเดี๋ยวนี้เลย แต่บางทีส่วนใหญ่มา มันเป็นตั้งแต่ปีที่แล้ว มันหมดแล้ว พอมันหมดแล้วมันก็ค่อยขึ้นมาใหม่ มันเป็นกำลังของจิต มันเป็นภายใน

นี่พูดถึง แล้วเวลาเราพูดอย่างนี้ เราคุยกับหมู่พระ บอกว่า ไอ้เวลาถามตอบอย่างนี้มันจะไม่มีใครพูดหรอก เพราะส่วนใหญ่แล้วมันไม่ชัดเจน แล้วมันไม่ชัดเจนแล้วมันอธิบายไม่ได้ คลุมเครือ พอคลุมเครือนะ ปัญหาคลุมเครือมา คนฟังมันคลุมเครือไว้ ตอบก็คลุมเครือ

แต่ถ้าปัญหาเป็นอย่างนี้ คำถามมา คลุมเครือมา แต่พูดให้ชัดเจนนะ มันจะแบบว่า คำถามผิด ต้องถามอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ๆ แล้วจะตอบมาใช่ไหม เราถึงบอกไง บางทีมันถึงพูดว่าไอ้ปัญหามันไม่มีใครแก้ เพราะเวลาหลวงตาท่านพูด เวลาหลวงปู่มั่นพูดอย่างนี้นะ พระภิกษุ พระปฏิบัติมา แก้จิตมันแก้ยาก แล้วคนรู้ไม่จริงมันไม่ชัดเจน

แล้วพอมาหลวงตาเวลาท่านพูดนะ “โอ้! เราสอนมาตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่มีใครมาพูดให้เราฟังเลย เราอยากแก้ว่ะ” คือท่านอยากมีคนป่วย แล้วคนป่วยมันก็ไม่มี เวลาอยู่กับท่านนะ “เราสอนมาตั้ง ๑๐-๒๐ ปี ไม่มีใครมาพูดให้ฟังเลย ไม่มีใครเข้ามาหาเลย” ก็ท่านก็อยากแก้ มันก็ไม่มีใครให้ไปแก้

ไอ้อย่างพวกเราไปฝังอะไรกันมาก็นึกว่าตัวเองถูก แล้วจริงๆ นะ ลองไปทั่วๆ ไป อย่างที่พูดเมื่อกี้ พระที่มาหานะ “ก็ไปหาอาจารย์แล้วท่านบอกพิจารณากาย”

จริงๆ เราจะไปถามกลับเลย ถ้าเป็นเรานะ เรารู้ว่าเขาไม่รู้ “แล้วพิจารณาอย่างไรล่ะ บอกมาสิ พิจารณาอย่างไร”

“พิจารณากายไปสิ” พูดตามตำราไง

พิจารณากายนะ หลวงปู่เจี๊ยะพิจารณากายไปอย่างหนึ่ง หลวงปู่คำดี หลวงปู่ชอบ พิจารณากายโดยเห็นกาย หลวงปู่ดูลย์พิจารณากายโดยไม่เห็นกาย หลวงตาพิจารณาเวทนา

ที่เขาบอกว่าต้องผ่านเวทนา ที่บ้านตาด เห็นไหม ต้องสู้เวทนาๆ

เราถามกลับเลยว่า หลวงปู่เจี๊ยะพิจารณากายไม่ผ่านเวทนาเลย หลวงปู่เจี๊ยะเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า

คือเราจะบอกว่าสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องผูกขาด นี่ไปผูกขาดไง “ต้องพิจารณาเวทนา ต้องผ่านเวทนา”

เราบอกไม่ต้องผ่านหรอก ถ้าจำเป็นต้องผ่านเวทนา โดยจริตไง ถ้ามันตรงก็โอเค แต่ถ้าเราไม่ใช่จริตนะ ก็อย่างพวกเราไปกินอาหารฝรั่ง ไม่ชอบหรอก กินได้ไหม ได้ แต่ให้กินทุกวันๆ ได้ไหม ไม่อยากเลย ไอ้นี่ก็เหมือนกัน พอไปเจอเวทนา เจอกันอีกแล้วๆ ไม่เอา แต่ให้ทำได้ไหม ได้ แต่มันไม่ตรงกับจริต ฉะนั้น ถึงบอกกาย เวทนา จิต ธรรม

ถ้าจำเป็นต้องผ่านเวทนา หลวงปู่เจี๊ยเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะหลวงปู่เจี๊ยะพิจารณากายทั้ง ๔ ขั้นตอนเลย หลวงปู่ชอบก็กายหมด หลวงปู่คำดีก็กายหมด หลวงตานี่กาย ครั้งแรกเวทนา นั่งตลอดรุ่ง เวทนา ครั้งที่ ๒ ธาตุ ๔ กลับสู่สภาพเดิม อันที่ ๓ อสุภะ อันที่ ๔ จิต จุดและต่อม ของหลวงตานี่แปลก ขั้นหนึ่งไปอย่างหนึ่ง ไม่ซ้ำกันเลย

ทีนี้คำว่า “พิจารณากายๆ” พิจารณาอย่างไรล่ะ

ไม่รู้ตอบไม่ได้หรอก ดูอย่างที่ครูบาอาจารย์ที่เป็นของจริงท่านยังไม่เหมือนกันเลย แล้วหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่คำดีว่าหลวงปู่คำดีกับท่าน ขั้นที่ ๒ หรืออย่างไรเหมือนกันอันหนึ่ง เหมือนกันตรงที่ว่าไปอยู่ในป่าไง แล้วไปกลัวเสือไง เสือมันมีเล็บ เราก็มีเล็บ เสือมีหนัง เราก็มีหนัง หลวงปู่คำดีกับหลวงตา ปัญญาอย่างนี้นะ เหมือนกับอันเดียวกันเลย แต่เวลาต่างกันเยอะ เพราะหลวงปู่คำดีท่านพิจารณาก่อนมา ๑๐ กว่าปี หลวงตามาพิจารณาทีหลัง แต่ไม่เคยคุยกันเลย แต่มาตรงกัน นี่หลวงตาพูดเอง เหมือนกันเลย

หลวงปู่คำดีท่านอยู่ในป่า เสือมีหนัง เราก็มีหนัง เสือมีขน เราก็มีขน มีทุกอย่างเหมือนกัน มันเลยทำให้ตัวเองหายกลัวได้ นี่หลวงตาเล่า บางทีมันอาจจะแบบว่ามันทฤษฎีตรงกัน แต่เวลา โดยวัย โดยสถานที่ เวลามันคนละอันกัน แต่มันเหมือนกัน

ถ้าฟังนะ ถ้าเป็นแล้วฟัง ฟังออกหมด อย่างที่พูด เวลาปฏิบัติ ธรรมเกิดกับอริยสัจเกิด คนละเรื่องเลย อริยสัจเกิด อริยสัจเกิดคือจิตสงบแล้วเห็นอริยสัจ เห็นสัจธรรม แล้วเกิดเป็นอริยสัจ เป็นปัญญา ถ้าธรรมเกิดมันเกิดเป็นความรู้ นั่งสมาธิเกิดเป็นความรู้ รู้เรื่องนั้นรู้เรืองนี้ไง รู้เรื่องข้อมูล นี่ธรรมเกิด ธรรมเกิดไม่ใช่อริยสัจนะ แล้วมีคนเกิดอย่างนี้เยอะ คิดว่าเป็นธรรม คิดว่าเป็นมรรคผล...ไม่ใช่ อย่างเรานั่งๆ อยู่นี่ “โอ้! เป็นพระอรหันต์ๆ” ออกมาเป็นพระอรหันต์หรือ...ไม่ใช่ มันคิดว่าเป็น มันไม่ได้เป็นเลย ก็มันคิดว่าเป็น นี่ธรรมมันเกิด

จะเป็นพระอรหันต์นะ จะต้องต่อสู้ ต้องใช้มรรคญาณ ต้องใช้สัจธรรม แล้วแก้ไขดัดแปลง ฆ่ากิเลสเป็นชั้นๆ ขึ้นมา แต่เวลาธรรมมันเกิด เห็นนิมิตเห็นอะไรต่างๆ นี่ธรรมเกิด เป็นความรับรู้อะไรต่างๆ รู้เรื่องนรกสวรรค์ เรื่องเทวดา ธรรมทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่ใช่อริยสัจ

ทีนี้คนไม่เข้าใจ ใครมาก็พยายามจะให้รับรองตรงนี้ๆ เราก็ฟังไว้ๆ แต่ไม่รับรองใคร อย่างว่า เดี๋ยวนี้ยิ่งไม่เลย เดี๋ยวนี้อย่างที่หลวงตาพูด เราเป็นคนฟังเฉยๆ เอ็งก็พูดไปสิ เราเป็นคนฟังว่ะ มีปัญหาอะไรบอกมา ใช่ไม่ใช่นั่นอีกเรื่องหนึ่ง เราเป็นคนฟังเฉยๆ ไม่ใช่ว่าให้ไปการันตี เป็นคนฟังเฉยๆ

อ้าว! มีปัญหาอะไรบ้าง ว่ามา พูดมาเลย

โยม : (เสียงไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : นี่พูดถึงกรรมฐานไม่ผิด ถูกหมดเลย ถ้าเป็นอภิธรรมเขาจะบอกว่าผิด น่าเสียดาย ถ้าบอกว่าผิดนี่น่าเสียดายมากเลย ถ้าบอกว่าผิด เพราะอะไรรู้ไหม เขาจะบอกเพราะลงสมาธิจะไม่เห็นนิมิตแล้วผิด แต่ความจริงถูก

ทีนี้เราจะพูดอย่างนี้ถูกแล้วนะ เป็นอดีตไปแล้ว วางไว้ สิ่งนี้ดีมากๆ นี่คือผลของงาน กรรมฐาน สมถกรรมฐาน-วิปัสสนากรรมฐาน นี่กรรมฐาน นี่ผลของมัน ทีนี้ผลของมัน มันเกิดเป็นครั้งคราว พอเกิดเป็นครั้งคราวต้องทำซ้ำ คำว่า “ทำซ้ำ” พูดเมื่อกี้นี้ ที่บอกว่าเวลาเป็นไปแล้ว คำว่า “วัดกันที่ความรู้สึก” ที่เห็น ใครหลอกเราได้ แล้วจิตใจเรามันกระเทือนขนาดไหน น้ำตงน้ำตาไหลเลย มันกระเทือนหัวใจมาก นี่เห็นกายจริงๆ เพราะอะไร เพราะทำสมาธิมา จิตมันลงมันถึงเห็น ทำสมาธิไปอย่างนี้แล้วจะเห็นอีก เห็นอีก ดูให้มันชัดเจน เราดูให้ชัดเจน มันเป็นขี้เถ้าไป พอขี้เถ้าปั๊บ มันปล่อยแล้ว มันหมดแล้ว พอถึงขี้เถ้าก็จบแล้ว พอจบ จิตมันพิจารณาจบวงรอบหนึ่งมันก็พัก นี่คือสมาธิ สมาธิอันนี้เกิดขึ้นมาจากการใช้ปัญญา สมาธินี้เกิดจากการใช้ปัญญา คือใช้ปัญญาใคร่ครวญในร่างกาย ตั้งแต่เป็นหนัง ถลกหนัง เห็นไขมันเห็นอะไร แล้วมันกลับสู่เป็นผงไปหมด เป็นเถ้าถ่านไปหมดเลย ก็จบแล้ว คือเหมือนกับเราทำเลขจบข้อหนึ่ง เราตอบแล้ว ตอบใจแล้ว ใจมันตอบแล้วว่าผลของมันคือขี้เถ้า ขี้เถ้า พอเสร็จงานแล้วมันก็ปล่อย พอปล่อยก็ว่าง ว่างก็คือสุข นี่ผลงานรอบหนึ่ง เราจะพูดบ่อย ที่เมื่อก่อนเราพิจารณาอยู่ เราจะพิจารณาอย่างนี้เป็นร้อยหนพันหน

ทีนี้ถ้าเป็นทางวิชาการ ตามสูตร พิจารณาจบแล้วต้องเป็นโสดาบัน เป็นหรือยัง ไม่เป็น แต่เป็นผลของมันไหม เป็น คือฝึกงาน ทำงานเป็น ถ้าพูดถึงพระที่ภาวนาไม่เป็น พูดอย่างนี้ปั๊บนะ นี่พิจารณากายรอบหนึ่งแล้ว เป็นโสดาบันแล้ว พิจารณากาย ผ่านกายแล้ว กลายเป็นขี้เถ้า หมดแล้ว แต่นี่คือผลงานการวิปัสสนา การใช้ปัญญารอบหนึ่ง แล้วก็ต้องใช้ปัญญาซ้ำอีกรอบหนึ่ง

ปัญญามันเหมือนสังโยชน์ หรือสิ่งที่เป็นสนิม น็อตที่มันเก็บ มันขันไว้ แล้วสนิมมันเยอะมาก มันไขไม่ออก เราจะคิดว่าเกลียวมันต้องคลายแน่นอน แต่มันจะคลายอย่างไร นี่ความรู้สึกว่ามันต้องคลายรอบหนึ่ง แต่มันยังไม่ได้คลาย เราก็ต้องซ้ำอีกๆๆ ซ้ำบ่อยๆ ซ้ำไปมันก็จะเกิดอีก แต่ไม่เกิดอย่างนี้เด็ดขาด มันจะเกิดเห็นเป็นอันใหม่ เห็นกิริยาใหม่ เห็นท่าใหม่ คืออย่างนี้คือมันเกิดปัจจุบัน คือทำมาถูกแล้ว

แล้วเวลาพูด ถ้าจิตมันสงบ จิตมันดี เพราะเวลากลับไปบ้าน ที่เขาบอกว่าเวลาคุณกลับไปแล้วคนบอกทำไมขี้โมโห เพราะชวนมันดี ถ้าชวนไม่ดี จิตมันจะไม่ลง พอชวนมันดี พอจิตมันนิ่ง ชวนมันก็ดีหมด คือสิ่งที่จะได้ยินเสียงกระทบมันจะเร็วขึ้น เพราะมันชัดเจน พอมันชัดเจน จะบอกว่าเหตุผลมันจะลงตัวหมด เพราะมันชัดเจน พอจิตมันสงบดีขึ้น มันถึงเห็นผลอย่างนี้ไง ถ้าชวนไม่ดี จิตไม่ดี จะเห็นอย่างนี้ไม่ได้

ถ้าจิตมันดี เมื่อกี้เราฟังนะ เรายังคิดว่าเห็นแค่ถลกหนังได้ครึ่งหนึ่งแล้วมันออกเลยนะ บางทีถ้าจิตมันกำลังไม่พอ มันจะเห็นเป็นกะโหลก เป็นเนื้อ เป็นหนัง เป็นปอดนะ แล้วถลกหนังลงมา แล้วถ้ากำลังไม่มีมันได้แค่นี้แหละ คือมันหยุด มันเห็นคาอย่างนี้ คือว่ามันไม่ไปไหน แค่นี้เอง แล้วก็คลายออก

นี่กำลังยังดีอยู่ ยังต่อไปได้ พอถลกหนังมาถึงเอว มันลงไม่ได้ นอนลงไป แล้วถลกได้ต่อ แล้วยังย่อยสลายเป็นผงไปอีก คือมีกำลัง ถ้าจิตมีกำลังนะ เหมือนรถยนต์มีน้ำมันมันยังไปได้ต่อ น้ำมันหมดนะ มึงจะไปได้ก็เข็นไง ต้องเข็นรถไป แต่ถ้ามีน้ำมันมันจะไป กำลังจิตยังมีคือน้ำมัน มันยังหมุนไปได้ต่อ พอน้ำมันหมดปั๊บนะ รถจอดสนิทเลย คือจิตมันถอย

ถูกต้อง แล้วถ้าไปที่ไหนเขาบอกว่าผิดแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะจิตมันตกสมาธิมันถึงได้เห็น...ก็กูเห็นน่ะ ทำไม กูเห็น กูรู้ นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก แล้วถ้ารู้เห็นอย่างนี้มันจะเทียบตรงนี้ เวลาเทียบเหมือนที่พูด เวลาเห็นอย่างนี้ หัวใจ โอ้โฮ! มันสั่น มันพอง มันขนพองสยองเกล้า จะว่ากลัวก็ไม่ใช่กลัว จะว่ากล้าก็ไม่ใช่กล้า แต่หัวใจ มันเหมือนกับเราบ้านไฟไหม้แล้วไปเจอ เอ๊อะ! อย่างนั้นล่ะ เวลาจิตมันเห็นน่ะ ของจริงมันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เห็นจากตาเนื้อ เห็นจากสัญญา เห็นจากข้อมูลหรอก มันเห็นโดยข้อเท็จจริง ปั๋ง! ตกใจหมด ใจนี่ตกใจหมด แต่ถ้ามีฐานสมาธิมันจะไม่เคลื่อนเลย

ถูกต้อง แล้วทำอีก นี่คือพื้นฐาน เริ่มให้พื้นฐาน ฟังแล้วเป็นครู ฟังแล้วต้องขยัน นี่มากี่วัน ๒๐ ปี ๒๐ ปีแล้ว ตั้งแต่ ๒๕๓๐ นี่มากี่วัน

ไอ้อย่างนี้นะ มันเป็นวาสนานะ บุญใครบุญมัน วาสนา บุญแข่งกันไม่ได้ แต่เรามุมานะได้นะ ไม่กี่วันเหมือนกัน แล้วเรากี่วันแล้วล่ะ เราจะไปเสียใจกับใครล่ะ อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เขาเรียกบารมี พันธุกรรมของจิต จิตแต่งไว้ดีไหม ทำไว้ดีไหม ทำได้ขนาดไหน แล้วดูกันที่นี่ อย่าดูข้างนอก ดูกันที่นี่ แล้วมุมานะ ขยัน

ขยันเท่าไรนะ มันจะมีมากมีน้อยมันจะเพิ่มได้ มันมีมากมันยิ่งมากขึ้น มีน้อย มันจะเพิ่มขึ้นมา เรื่องข้างนอกอย่าไปยุ่ง กรรมของเขา กรรมใครกรรมมัน เราจะไปแบกภาระกรรมคนอื่นทำไม เราเอาแต่เรื่องของเรา มาแล้ว ทำแต่เรื่องของเรา แล้วทำขยันหมั่นเพียร เรื่องของคนอื่น ของคนอื่น แต่เราเป็นอาจารย์ใช่ไหม เราเพียงแต่พูดถูกหรือผิดไง เวลาเราพูดแล้วโยมฟังรำคาญ เราจะอธิบายว่าเวลาเราพูดไป เราไม่ใช่พูดเทาๆ ไง ดำหรือขาว ถูกหรือผิด เวลาเราพูดถึงถูก เออ! ฟังดีเว้ย เวลาพูดผิด แหม! เอาแล้ว ด่าเขาอีกแล้ว มันเทียบไง เทียบขาวกับดำ ถูกหรือผิด แล้วให้เราเลือก ฉะนั้น เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของคนอื่น เราเอาของเรา เอาจริงๆ

ถูกต้อง เราขยัน ตั้งสติให้ดี ทำอีก แล้วมันจะเกิดอย่างไรมีสติไว้ ไม่เสีย มันจะละลาย แปรสภาพไหนก็แล้วแต่ แล้วถ้ามันมีกำลังขึ้นมามันจะเปิด บางทีนะ มันมาอย่างนี้ปั๊บ กำลังไม่พอมันจะคาไว้อย่างนี้ รำพึงให้มันเป็นไง น้ำเป็นน้ำไป ให้มันพุพอง คือว่าเป็นศพขึ้นมาอย่างนี้ ให้ระเบิดเลย

คำว่า “ระเบิด” นะ มันจะพุพอง น้ำเหลืองเยิ้มออกมาแล้วมันแตก มันจะระเบิดในตัวมันเอง ไม่ใช่เราให้มันไประเบิดแล้วสร้างภาพให้มันระเบิด คำว่า “ให้ระเบิด” คือว่าให้มันพุพองจนมันแตกออกอย่างนี้ ให้มันสู่สภาพเดิม เพราะเราเห็นสภาพแบบนั้นแล้วสะเทือนหัวใจ เพราะสักกายทิฏฐิ ความทิฏฐิเรื่องกายเห็นผิดอยู่ สัจธรรมถึงเห็นอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ มันเปื่อยเน่าไปแบบโลก มันเปื่อยเน่าไปแบบโลกคือกาลเวลา พวกเซลล์พวกอะไรต่างๆ มันเน่ามันเสียไป แต่ถ้าเป็นในสัจธรรม มันเป็นผลของสมาธิ

เวลามันระเบิด นั่งกันอยู่ ๑๐ คนนะ เราเห็นอยู่คนเดียว คนอื่นไม่เห็นนะ คือสัจธรรมของใครออกจากฐานของจิตอันนั้น ของใครของมัน แย่งกันไม่ได้ เห็นแทนกันไม่ได้ ให้ช่วยเหลือกันไม่ได้ มันจะเกิดกับเราเอง

ทำแล้ว ไอ้อย่างนี้นะ เงินทองกี่ล้านก็ซื้อไม่ได้ บุญกุศล เงินทองทุกอย่างซื้อไม่ได้ เราหาได้ เราทำได้ ตั้งใจทำ ถูกต้อง ไม่ผิด เพียงอย่างเดียว ตั้งสติ เห็นอะไรแล้วอยู่ที่สติๆ อยู่กับผู้รู้ อย่างเช่นกำหนดพุทโธๆ ไป ลมกับจิตมันแยกกัน ลมกับจิตมันแยกกันก็เรื่องของมัน แต่ลมกับจิตมันแยกกันเพราะจิตมันปล่อย พอจิตมันปล่อย มันเข้ามาฐาน พอเข้ามาฐานปั๊บ มันก็เห็นนิมิต เห็นกาย นี่เวลามันลง กำหนดพุทโธ อานาปานสติ ทุกอย่าง มันเป็นคำบริกรรม มันเป็นที่จิตเกาะนั้นน่ะ เวลาจิตมันเกาะนะ สมาธิไม่ได้เกิดจากพุทโธหรอก สมาธิไม่ได้เกิดจากลมหรอก สมาธิเกิดจากใจ แต่อาศัยพุทโธ อาศัยใจเกาะเกี่ยวเข้าไป พอมันจะสงบเข้ามามันทิ้งหมด มันเข้ามาเอง นี่คือคำบริกรรมไง พอเข้ามาเอง พอมันสงบแล้วมันก็เห็นของมัน แต่ทิ้งพุทโธไม่ได้นะ ทิ้งลมไม่ได้ ทิ้งอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ถ้าทิ้งแล้วจิตมันเร่ร่อน จิตมันออกนอก จิตต้องเกาะอะไรไว้อันหนึ่ง แต่เวลาสงบ ตัวมันเองสงบ ไอ้นี่ก็อยู่อย่างนั้นน่ะ เห็นไหม ที่ว่าพุทโธๆ จนพุทโธหาย พุทโธกับจิตหาย มันก็อยู่อย่างนั้นน่ะ จิตมันลง

ตั้งใจ ถูกต้อง ประสาเรา ชีวิตยังยาว ยังเด็กๆ อยู่ ไม่ต้องกลัว ไม่ตายก่อนหรอก มาถามได้ไง ไม่ใช่ว่าอาจารย์แก่ แย่แล้ว กลัวแต่อาจารย์จะตายก่อน เรายังนั่งอยู่นี่ ไม่ต้องกลัว มาได้เลย คือประกันไว้ว่าไม่ต้องไปเชื่อใคร ไม่ให้ใครชักออกนอกทางไง เรายังนั่งอยู่นี่ ไม่ต้องห่วงเลย มีปัญหา มาได้ตลอด โธ่! ขนาดใครมาบอกว่าสอนผิด เอาปืนยิงทิ้งเลย อ้าว! ยิงเลยถ้ากูสอนผิด นั่งอยู่นี่ ถ้ากูสอนผิดนะ เอาปืนยิงทิ้งเลย

วันนั้นพวกมาจากกรุงเทพฯ ไง ฟังซีดีนะ โอ้โฮ! มันวิ่งมาเลยนะ เขาบอกว่าฟังซีดี เขาบอกมีคนซื้อซีดีหลวงพ่อไปให้ผม

กูฟังดู ไอ้นี่ผิดแล้ว

เขาบอกมีคนซื้อซีดีหลวงพ่อไปให้ผม

อ้าว! ทำไมล่ะ

ผมฟัง

แล้วเอ็งฟังได้อย่างไร

เราไม่เชื่อหรอก ถ้าคนพื้นฐานจะฟังซีดีเราออก เราไม่เชื่อ เขาบอก โอ๋ย! ผมลูกศิษย์บ้านตาด ผมฟัง ผมมาหาหลวงปู่ที่สวนแสงธรรมตลอด แล้วไปฟังไอ้แผ่นที่ ๒๑ แผ่นสีเหลืองๆ ฟังแล้วมันถูกใจมาก มาเลย แล้วให้แก้

บอกซัดไปเลย ทำไปเลย แล้วพูดอย่างนี้ เพราะพวกนี้ ไม่อยากพูดเนาะ เขาก็มีครูบาอาจารย์เขานั่นแหละ ทีนี้พอมันไปคุยกันแล้วมันไม่ลงใจไง พอมาหาเรา เพราะเรารู้ว่าเขาโลเลแล้ว เขาเคยหาครูบาอาจารย์หลายองค์ แล้วพูดแล้วมันไม่ถึงใจเขา เราถึงยันกับมันเลย เราพูดกับลูกศิษย์เราตลอดเวลา เมื่อก่อนอยู่โพธารามบอกว่า ถ้ากูสอนผิด ตัดหัวทิ้งๆ โพธารามนะ ถ้ากูทำให้พวกมึงผิดนะ ตัดหัวกูทิ้งเลย เว้นไว้แต่มันผิดเพราะตัวมันเองไง บอกแล้วไม่ทำตาม บอกแล้วอยากลอง ไอ้เรื่องอย่างนั้น ไอ้เรื่องผิด ช่วยอะไรไม่ได้

แต่ถ้าทำพุทโธ อยู่กับสติ ผิด มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันจะผิดก็บอกมันทิ้งพุทโธ มันเห็นแล้วมันตกใจ มันทิ้งพุทโธ วิ่งไปหาเขา วิ่งไปหาเขามันก็ออกหมด ถ้าไม่ทิ้งพุทโธมันจะไปไหน มันก็อยู่ตรงนั้นล่ะ

ดี อย่างนี้ถ้าเวลาภาวนาเป็นมันยังเห็นมีผลงานบ้าง ประสาเราว่า ห้างนี้มันยังมีลูกค้าติดบ้างไง ไม่อย่างนั้นขายของอะไรขายไม่ได้เลย เก็บร้านกลับบ้านทุกวันไม่มีอะไรติดมือกลับบ้านเลย

เออ! ใช้ได้ ถูกต้อง ไม่ผิด เพราะมันเห็น เห็นจริงๆ เห็นจริงๆ นี่นะ คาดหมายไม่ได้ ถ้าเห็นโดยเรา ข้อมูลเราบังคับ ถ้าเห็นจริงๆ คาดหมายไม่ได้ มันจะเกิดโดยคาดหมายไม่ได้เลย สัจธรรม ปัจจุบันธรรม คาดหมายไม่ได้เลย เป็นเอง พอเป็นเอง พอจิตที่เห็น โอ้โฮ! มันสะเทือน สะเทือนมาก ขนพองสยองเกล้า ถ้าไม่สะเทือนอย่างนั้น รสของธรรมชนะรสทั้งปวงได้อย่างไร รสของธรรมชนะหมด ทิ้งหมดเลย ถึงที่สุดใช้ได้ ทำให้ได้ ที่นั่งอยู่นี่ ทำให้ได้ให้หมดเลย แล้วจะได้ผลเนาะ เอวัง